บทที่ 2...

54
บทที2 การทบทวนวรรณกรรม การศึกษาเรื่อง ความพึงพอใจของผู๎ปกครองในการดาเนินงานของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กตาบล ปุาสัก อาเภอวังชิ้น จังหวัดแพรํ มีเอกสารที่เกี่ยวข๎อง ประกอบด๎วย แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยทีเกี่ยวข๎อง มีรายละเอียดดังตํอไปนี2.1 แนวคิด ทฤษฎี ที่เกี่ยวข๎อง 2.1.1 ทฤษฎีที่เกี่ยวข๎องกับพัฒนาการ 2.1.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา 2.1.3 ทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพ 2.1.4 ทฤษฎีการเรียนรู๎ทางสังคม 2.1.5 แนวคิดและหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย 1) หลักการจัดการศึกษาปฐมวัย 2) การสํงเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย 3) แนวการจัดประสบการณ๑ 4) ประเภทของสื่อพัฒนาการ 5) แหลํงการเรียนรู๎สาหรับเด็กเล็ก 6) ความหมายของการประเมินและรายงานผลพัฒนาการของเด็ก 7) การจัดสภาพแวดล๎อมภายในและภายนอกห๎องเรียน 8) บทบาทหน๎าที่ของครูผู๎ดูแลเด็ก 2.2 บริบทของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กตาบลปุาสัก อาเภอวังชิ้น จังหวัดแพรํ 2.2.1 ประวัติองค๑การบริหารสํวนตาบลปุาสัก 2.2.2 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสัก 2.2.3 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อม 2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข๎อง 2.3.1 งานวิจัยในประเทศ 2.3.2งานวิจัยในตํางประเทศ

Transcript of บทที่ 2...

Page 1: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

บทท่ี 2 การทบทวนวรรณกรรม

การศึกษาเรื่อง ความพึงพอใจของผู๎ปกครองในการด าเนินงานของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กต าบล ปุาสัก อ าเภอวังชิ้น จังหวัดแพรํ มีเอกสารที่เกี่ยวข๎อง ประกอบด๎วย แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข๎อง มีรายละเอียดดังตํอไปนี้

2.1 แนวคิด ทฤษฎี ที่เกี่ยวข๎อง 2.1.1 ทฤษฎีที่เกี่ยวข๎องกับพัฒนาการ 2.1.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา 2.1.3 ทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพ 2.1.4 ทฤษฎีการเรียนรู๎ทางสังคม 2.1.5 แนวคิดและหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย 1) หลักการจัดการศึกษาปฐมวัย 2) การสํงเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย 3) แนวการจัดประสบการณ๑ 4) ประเภทของสื่อพัฒนาการ 5) แหลํงการเรียนรู๎ส าหรับเด็กเล็ก 6) ความหมายของการประเมินและรายงานผลพัฒนาการของเด็ก 7) การจัดสภาพแวดล๎อมภายในและภายนอกห๎องเรียน 8) บทบาทหน๎าที่ของครูผู๎ดูแลเด็ก 2.2 บริบทของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กต าบลปุาสัก อ าเภอวังชิ้น จังหวัดแพรํ 2.2.1 ประวัติองค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสัก 2.2.2 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสัก 2.2.3 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อม 2.3 งานวิจัยที่เก่ียวข๎อง 2.3.1 งานวิจัยในประเทศ 2.3.2งานวิจัยในตํางประเทศ

Page 2: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

9

2.1 แนวคิด ทฤษฎี ที่เกีย่วข้อง 2.1.1 ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการ ทฤษฎีที่เกี่ยวข๎องกับพัฒนาการ ซึ่งสามารถน ามาใช๎ในการพัฒนาเด็กกํอนประถมและเป็นประโยชน๑ตํอพ้ืนฐานโครงสร๎างความเข๎าใจในการวัดประเมินผลพัฒนาการเด็กปฐมวัย ทฤษฏีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต๑ (Piaget) Piaget (1969) อ๎างถึงใน สิริมา ภิญโญอนันตพงษ๑,2542: 38-39) นักจิตวิทยาชาวสวิสที่เป็นที่รู๎จักในฐานะผู๎เชี่ยวชาญในทฤษฎีพัฒนาการทางด๎านสติปัญญา เกิดที่เมืองนูซาเทล (Neuchatel) หนังสือและบทความทั้งหมดซึ่งเป็นผลงานของเขาเกี่ยวข๎องกับความเจริญเติบโตและพัฒนาการสติปัญญาของเด็ก ซึ่งทฤษฎีนี้เน๎นความส าคัญของความเป็นมนุษย๑ อยูํที่มนุษย๑มีความสามารถในการสร๎างความรู๎ผํานการปรับตัวให๎เข๎ากับสิ่งแวดล๎อม ซึ่งปรากฏอยูํในตั้งแตํแรกเกิด ความสามารถนี้คือการปรับตัว (Adaptation) เป็นกระบวนการที่เด็กสร๎างตามความคิด (Scheme) โดยการมีปฏิสัมพันธ๑โดยตรงกับสิ่งแวดล๎อม 2 ลักษณะ คือเด็กพยายามปรับตัวให๎เข๎ากับสิ่งแวดล๎อม โดยซึมซับประสบการณ๑ (Assimilation) และการปรับตัวโครงสร๎างสติปัญญา (Accommodation) ตามสภาพแวดล๎อม เพ่ือให๎เกิดความสมดุลในโครงสร๎าง ความคิด ความเข๎าใจ (Equilibration) ทั้งนี้ เพียเจต๑ ได๎แบํงล าดับขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาไว๎ 4 ขั้นดังนี ้

1. ขั้นประสาทรับรู๎และการเคลื่อนไหว (Sensorimotor Stage) พัฒนาการระยะนี้อยูํ ในชํวง 2 ขวบปีแรกหลังเกิด ขั้นนี้เป็นขั้นของการเรียนรู๎จากประสาทสัมผัส ในขั้นนี้พัฒนาการ จะก๎าวหน๎าอยํางรวดเร็ว มีการพัฒนาการเรียนรู๎ การแก๎ปัญหา มีการจัดระเบียบการกระท า มี การคิดกํอนที่จะท า การกระท าจ าท าอยํางมีจุดหมายด๎วยความอยากรู๎อยากเห็น และเด็กยัง สามารถเลียนแบบโดยไมํจ าเป็นต๎องมีตัวแบบให๎เห็นในขณะนั้นได๎ซึ่งแสดงถึงข้ันพัฒนาการ ด๎านความจ าที่เพ่ิมมากขึ้นในชํวง 18-24 เดือน

2. ขั้นกํอนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้จะอยูํในชํวง 2-7 ปี ในระยะ 2-4 ปี เด็กยังยึดตนเองเป็นศูนย๑กลาง มีขีดจ ากัดในการรับรู๎ สามารถเข๎าใจเพียงมิติเดียว ในระยะ 5-6 ปี เด็กจะยํางเข๎าสูํขั้น (Intuitive Thought) ระยะนี้เป็นชํวงหัวเลี้ยวหวัตํอของการคิดที่ข้ึนอยูํกับ การคิดอยํางมีเหตุผลตามความจริง ซึ่งเด็กจะก๎าวออกจากการรับรู๎เพียงมิติเดียวไปสูํการรับรู๎ได๎ใน หลายๆมิติในเวลาเดียวกันมากข้ึน และจะก๎าวไปสูํการคิดอยํางมีเหตุผล โดยไมํยึดอยูํกับการับรู๎เทํานั้น เด็กจะเริ่มมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งตํางๆรอบตัวดีขึ้น แตํยังคิดและตัดสินผลของการกระท าตํางๆ จากสิ่งที่เห็นภายนอก

3. ขั้นปฏิบัติการคิดด๎วยรูปธรรม (Concrete Operational Stage) ขั้นนี้เริ่มจากอายุ 7-11 ปี เด็กจะมีความสามสามรถคิดเหตุและผลที่เก่ียวข๎องกับปรากฏการที่เกิดข้ึน โดยไมํยึดอยูํเฉพาะการ รับรู๎เหมือนขั้นกํอนๆ ในขั้นนี้เด็กสามารถคิดย๎อนกลับ (Reversibility) สามารถเข๎าใจเรื่องการอนุรักษ๑

Page 3: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

10

(Conservation) สามารถจัดกลุํมหรือประเภทสิ่งของ (Classification) และสามารถจัดเรียงอันดับ ของสิ่งตํางๆ (Seriation) ได๎เด็กในขั้นปฏิรูปการคิดด๎วยรูปธรรมจะพัฒนาการจากการยึดตัวเองเป็น ศูนย๑กลางไปสูํความสามารถท่ีเข๎าใจแนวคิดของสังคมรอบตัว และสามารถเข๎าใจวําผู๎อื่นคิดอยํางไร มากขึ้น แม๎วําการคิดของเด็กวัยนี้จะพัฒนาไปมาก แตํการคิดของเด็กยังต๎องอาศัยพ้ืนฐานของ การสัมผัสหรือสิ่งที่เป็นรูปธรรม เด็กยังไมํสามารถคิดในสิ่งที่เป็นนามธรรมที่ซับซ๎อนได๎เหมือนกับ ผู๎ใหญํอยํางไรก็ตามตอนปลายของขั้นนี้เด็กจะเริ่มเข๎าใจสาเหตุของเหตุการณ๑รอบตัว พร๎อมจะ แก๎ปัญหาไมํเพียงแตํสิ่งที่ได๎ หรือเป็นรูปธรรมเทํานั้นแตํเด็กจะเริ่มสามารถแก๎ปัญหาโดยอาศัยการตั้ง สมมุติฐานอาศัยหลักของความสัมพันธ๑ของปัญหานั้นๆบ๎างแล๎ว

4. ขั้นปฏิบัติการคิดด๎วยนามธรรม (Formal Operational Stage) ตั้งแตํอายุ 11 ปี จนถึงวัยผู๎ใหญํเป็นชํวงที่เด็กจะสามารถคิดไมํเพียงแตํในสิ่งที่เห็น หรือได๎ยินโดยตรงๆเหมือน ระยะกํอนๆอีกตํอไปแตํจะสามารถจินตนาการเงื่อนไขของปัญหาในอดีต ปัจจุบันและอนาคต โดยพัฒนาสมมุติอยํางสมเหตุสมผลเกี่ยวกับเหตุการณ๑ท่ีเกิดขึ้นได๎ ซึ่งหมายถึงวําระยะนี้เด็กจะ มีความสามารถคิดหาเหตุผลเหมือนผู๎ใหญํนั่นเอง สรุปแนวคิดทฤษฏีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต๑ (Piaget) ท าให๎ผู๎เกี่ยวข๎องหรือครู ผู๎ดูแลเด็กศึกษาและได๎น าแนวคิดนี้มาทราบถึงพัฒนาการของเด็กในด๎านสติปัญญาและสามารถ น ามาเป็นพื้นฐานในการจัดกิจกรรมให๎กับเด็กเพราะพัฒนาการระยะนี้อยูํในชํวง 2 ขวบปีแรกหลัง เกิดข้ันนี้เป็นขั้นของการเรียนรู๎จากประสาทสัมผัสในขั้นนี้พัฒนาการจะก๎าวหน๎าอยํางรวดเร็วมีการ พัฒนาการเรียนรู๎การแก๎ปัญหามีการจัดระเบียบการกระท ามีการคิดกํอนที่จะท าการกระท าจ าท า อยํางมจีุดหมายด๎วยความอยากรู๎อยากเห็นและเด็กยังสามารถเลียนแบบโดยไมํจ าเป็นต๎องมีตัวแบบ ให๎เห็นในขณะนั้นได๎ซึ่งแสดงถึงขั้นพัฒนาการด๎านความจ าที่เพ่ิมมากข้ึนในชํวง 18-24 เดือน

2.1.2 ทฤษฏีพัฒนาการทางสติปัญญาของโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner”s View) การ๑ดเนอร๑ (Gardner, 1964 อ๎างถึงใน รังสิมา ภิญโญอนันตพงษ๑,2542 : 39-41)เป็นนักจิตวิทยา (Phychologist) และผู๎เชี่ยวชาญทางด๎านสติปัญญา (Intelligence Expert) แหํงมหาลัยฮาวาร๑ด ได๎ศึกษาเก่ียวกับความหลากหลายของสติปัญญา (Theory of Multiple Inteiligence: MI) โดยใช๎หลักการวิวัฒนาการทางชีววิทยา (Biologicl Evolution) จ าแนกความสามรถหรือสติปัญญาของคนเอาไว๎ 8 ประเภท และตํอมาเขาเพ่ิมอีก 1 ประเภท คือ สติปัญญาด๎านการด ารงชีวิต (Existential Intelligence) รวมทั้งหมด 9 ด๎านซึ่งการ๑ดเนอร๑เชื่อวําสมองของมนุษย๑ได๎แบํงเป็นสํวนๆแตํละสํวนได๎ก าหนดความสามารถท่ีค๎นหา และซึ่งสติปัญญา 9 ด๎านได๎แก ํ

1. สติปัญญาทางด๎านภาษา (Linguistic Intellgence) หมายถึง ผุ๎ที่มีความสามารถ ทางด๎านภาษาสูงอาทิ นักเลํานิทาน นักพูด (ปฐกถา) ความสามารถใช๎ภาษาในการหวํานล๎อม การอธิบายกวี นักเรียนนวนิยาย นักเขียนบทละคร บรรณาธิการนักหนังสือพิมพ๑ นักจิตวิทยา

Page 4: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

11

2. สติปัญญาด๎านตรรกะและคณิตศาสตร๑ (Logical/Mathematical Intellingence) หมายถึง กลุํมผู๎ที่มีความสามารถสูงในการใช๎ตัวเลข อาทิ นักบัญชี นักคณิตศาสตร๑ นักสถิติ กลุํมใช๎เหตุผลที่ดี อาทิ นักวิทยาศาสตร๑ นักตรรกศาสตร๑ นักจัดท าโปรแกรมคอมพิวเตอร๑ กลุํม ผู๎ที่มีความไวในการเห็นความสัมพันธ๑แบบแผนตกรรวิทยา การคิดเชิงนามธรรม การคิดที่เป็น จ าแนกประเภท การจัดหมวดหมูํ การสันนิษฐาน การสรุป การคิกค านวณ การตั้งสมมุติฐาน

3. สติปัญญาด๎านมิติสัมพันธ๑ (Visual/Spatial Intelligence) หมายถึง ผู๎ที่มีความสามารถ มองเห็นภาพทิศทางแผนที่กว๎างไกล อาทิ นายพรานปุาผู๎น าทาง พวกเดินทางไกลรวมถึงผู๎ที่มี ความสามรถมองความสัมพันธ๑ มองเห็นแสดงออกเป็นรูปรํางในการจัดการกับพ้ืนที่ เนื้อที่การใช๎สีเส๎น พ้ืนผิว อาทิ สถาปนิก มัณฑนาการ นักประดิษฐ๑ ศิลปินตํางๆ

4. สติปัญญาด๎านรํางกาย การเคลื่อนไหว (Bodily/Kinesthetic Intelligence) หมายถึง ผู๎ที่มีความสามารถในการใช๎รํางกายของตนเองแสดงออกทางความคิด ความรู๎ อาทิ นักแสดงละครภาพยนตร๑ นักแสดงทําใบ๎ นักกีฬา และผู๎ที่มีความสามารถในการใช๎มือประดิษฐ๑ เชํนนัปั่น ชํางแก๎ รถยนต๑ รวมถึงความสามารถทักษะทางกาย เชํน ความคลํองแคลํว ความแข็งแรง ความรวดเร็ว ความยืดหยุํน ความประณีตและความไว ทางประสาทสัมผัส

5. สติปัญญาด๎านดนตรี (Music/Rhythmic Intelligence) หมายถึง ผู๎ที่มีความสามารถ ทางด๎านดนตรี ได๎แกํ นักแตํงเพลง นักดนตรี นักวิจารณ๑ดนตรี รวมถึงความไวในเรื่องจังหวะ ท านอง เสียงตลอดจนสามารถในการเข๎าใจและวิเคราะห๑ดนตรี

6. สติปัญญาด๎านมนุษย๑สัมผัส (Interpersonal Intelligence) หมายถึง ความสามารถ ในการเข๎าใจอารมณ๑ ความรู๎สึก ความคิด และเจตนาของผู๎อ่ืน ทั้งนี้รวมถึงความสามารถในการสังเกต น้ าเสียง ใบหน๎า ทําทาง ทั้งยังมีความสามารถสูงในการรู๎ถึงลักษณะตํางๆของสัมพันธภาพของมนุษย๑ และสามารถตอบสนองได๎อยํางเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ เชํน สามารถท าให๎บุคคลหรือกลุํม บุคคลปฏิบัติตาม

7. สติปัญญาด๎านตน หรือการเข๎าใจตนเอง (Interpersonal Intelligence) หมายถึง ผู๎ที่มีความสามารถในการรู๎จักตนเอง และสามารถประพฤติปฏิบัติได๎จากความรู๎สึกตนนี้ ความสามารถ ในการรู๎จักตัวตน อาทิ การรู๎จักตนเองตามความเป็นจริง เชํน มีจุดอํอน จุดแข็งในเรื่องใด มีความรู๎เทํา ทันอารมณ๑ ความคิด ความปรารถนาของตนเอง มีความสามารถในการฝึกฝนตนเอง และเข๎าใจตนเอง

8. สติปัญญาด๎านการรักธรราชาติ (Naturalistic Intelligence) หมายถึง ผู๎ที่มีความเข๎าใจ ความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ และปรากฏการณ๑ธรรมชาติ เข๎าใจความส าคัญของตนเองกับ สิ่งแวดล๎อม และตระหนักถึงความสามารถของตนที่จะมีสํวนชํวยในการอนุรักษ๑ธรรมชาติเข๎าใจถึง พัฒนาการของมนุษย๑และการด ารงชีวิตของมนุษย๑ตั้งแตํเกิดจนตายเข๎าใจและจ าแนกความเหมือนกัน ของสิ่งของ เข๎าใจการเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนของสาร

Page 5: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

12

9. สติปัญญาด๎านการด ารงชีวิต (Existential Intelligence) หมายถึง ผู๎ที่มีความสามารถใน

การไตรํตรอง ค านึง สร๎างความเข๎าใจเกี่ยวกับการมีชีวิตอยูํบนโลกมนุษย๑เข๎าใจการก าหนดของชีวิต และการรู๎เหตุผลของการด ารงชีวิตอยูํบนโลก สรุปทฤษฏีพัฒนาการทางสติปัญญาของโฮเวิร๑ด การ๑ดเนอร๑ (Howard Gardner”s View) ผู๎ เกี่ยวข๎องสามารถน าแนวคิดพัฒนาการด๎านสติปัญญานี้ ไปใช๎กับเด็กปฐมวัยได๎โดยการน าความสามารถด๎านสติปัญญาทั้ง 9 ด๎าน นั้นมาใช๎ในการสังเกตพฤติกรรมในตัวเด็กและสามารถน ามาเป็นความรู๎พื้นฐานในการจัดกิจกรรมส าหรับเด็กปฐมวัยด๎วย 2.1.3 ทฤษฏีพัฒนาการทางบุคลิกภาพของอิริคสัน Erikson (1959) อ๎างถึงใน สิริมา ภิญโญอนันตพงษ๑,หน๎า 46-49) เป็นนักจิตวิทยาในกลุํมจิตวิเคราะห๑ ผู๎ศรัทธาในงานฟร๑อย (The Most Impotant of These Neo Freudians) เกิดที่เมือง แฟรงค๑เฟริค ประเทศเยอรมนี บิดา มาดามีฐานะตั้งหลักแหลํงอยูํในกรุงเวียนนาได๎รับการฝึกหัดทางจิตวิเคราะห๑ทางเรื่องเพศครั้งสุดท๎าย มีอาชีพเป็นจิตแพทย๑เด็กและตํอมาย๎ายไปอยูํสหรัฐอเมริกา ในปี 1995 ได๎รับการเลือกตั้งเป็นประธานของ The Division of Developmental Psychology) อิริคสัน (Erikson,1959 อ๎างถึงใน สิริมา ภิญโญอนันตพงษ๑,หน๎า 46-49) ได๎เน๎นความส าคัญของเด็กกํอนประถมวําเป็นวัยที่ก าลังเรียนรู๎สิ่งแวดล๎อมรอบตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกใหมํและนําตื่นเต๎นส าหรับเด็ก บุคลิกภาพจะสามารถพัฒนาได๎ดีหรือไมํขึ้นอยูํกับวําแตํละชํวงของอายุเด็กประสบสิ่งที่พึงพอใจในชํวงอายุนั้น เด็กก็จะมีพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่ดีและเหมาะสมและพัฒนาครอบคลุมถึงวัยผู๎ใหญํด๎วย ซึ่งพัฒนาของมนุษย๑มี 8 ขั้นตอน คือ

1. ขั้นความเชื่อใจหรือขอความเชื่อใจ (Trust Versus) อายุตั้งแตํแรกเกิดถึง 1 ปี ในขั้น นั้นเด็กจะพัฒนาความรู๎สึกตนวําเป็นที่ยอมรับและสามารถให๎ความเชื่อใจเป็นมิตรแกํคนอ่ืน วิธีการอบรมเลี้ยงดูของพํอ แมํ ไมํวําจะเป็นการอ๎ุม การให๎อาหาร หรือวีการเลี้ยงดูตํางๆ จะสํงผลไปสูํบุคลิกภาพของความเป็นมิตร เปิดเผย และเชื่อถือไว๎เนื้อเชื่อใจตํอสภาพแวดล๎อมและบุคคลตํางๆถ๎าเด็กไมํได๎รับความรักและความอบอํุนอยํางเพียงพอ เด็กก็จะพัฒนาบุคลิกภาพของความตระหนี่ตัว ปกปิดไมํไว๎วางใจ และมักมองโลกในแงํร๎าย

2. ขั้นการควบคุมด๎วยตนเอง หรือสงสัย/อาย (Autonomy Versus Doubt or Shame) อยูํในชํวงอายุ 2-3 ปี เด็กวัยนี้เริ่มเรียนรู๎ที่จะชํวยตัวเอง สามารถควบคุมตนเองและสิ่งแวดล๎อมรอบตัวได๎เด็กจะสามารถท างานงํายๆ เหมาะสมกับวัยของเด็กส าเร็จด๎วยตนเอง เชํน การหยิบอาหารเข๎าปาก เดิน วิ่ง หรือเลํนของเลํนถ๎าพํอแมํบังคับ หรือห๎ามไมํให๎เด็กกระท าสิ่งใดได๎ด๎วยตนเองหรือเข๎มงวด

Page 6: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

13

เกินไปจะท าให๎เด็กสงสัยในความสามารถของตนเอง เกิดความละอายในสิ่งที่ตนกระท าซึ่งจะท าให๎เด็กรู๎สึกวําตนไมํสามารถท าอะไรได๎อยํางถูกต๎องและได๎ผล เกิดความยํอท๎อและชอบพ่ึงผู๎อื่น

3. ขั้นการริเริ่มและรู๎สึกผิด (Initiative Versus Guilt) อยูํในชํวงอายุ 3-6 ปี เป็นขั้นพัฒนา ความคิดริเริ่มหรือความรู๎สึกผิด (Sense VS Guilt) เด็กจะมีความกระตือรือร๎นที่จะเรียนสิ่งตํางๆ รอบตัวเอง เด็กมีการเลียนแบบผู๎อยูํใกล๎ชิด หรือสิ่งแวดล๎อมที่ตนรับรู๎ เด็กเริ่มเรียนรู๎และยอมรับคํานิยมของครอบครัวและสิ่งที่ถํายทอดสูํเด็ก ถ๎าเด็กไมํมีอิสระในการค๎นหาก็จะสํงผลไปสูํความคับข๎องใจที่ไมํสามารถเรียนรู๎ในสิ่งที่ตนอยากรู๎ซึ่งจะสํงผลตํอจิตใจของเด็กและความรู๎สึกผิดติดตัว

4. ขั้นการประสบความส าเร็จ ความขยันหมั่นเพียร หรือรู๎สึกด๎อย (Mastery Versus Inferiority) อยูํในชํวงอายุ 6-12 ปี เป็นขั้นที่ทุํมเท ขยัน เพ่ือเกิดความส าเร็จ ชอบแขํงขันรํวมกับเพ่ือนกับกลุํม

5. ขั้นการู๎จักตนเอง หรือความสับสนไมํรู๎จักตนเอง (Identity Versus Diffustion) อยูํใน ชํวงอายุ 13-17 ปี (The College Years) เป็นขั้นตอนการค๎นหาความเป็นตนเอง สร๎างความเป็นตนเองโดยผู๎ใหญํและสังคมมีอิทธิพล

6. รู๎สึกเดี่ยว (Intimacy Versus Isolation) อยูํในชํวงอายุ 18-22 ปี (Early Adolescence and Self Comment) เป็นขั้นความรับผิดชอบ เป็นผู๎ใหญํสร๎างตัว

7. ขั้นความรับผิดชอบแบบผู๎ใหญํ หรือความรู๎สึกเฉื่อยชา (Cenerativity Versus Absorption) อยูํในชํวง 22-40 ปี เป็นขั้นสร๎างความเป็นปึกแผํน สืบวงศ๑ตระกูล รู๎บทบาทหน๎าที่รับผิดชอบครอบครัวลูก

8. ขั้นความม่ังคั่ง สมบูรณ๑ หรือหมดหวัง ทอดอาลัยชีวิต (Intgrit Versus Despair) อยูํ ในชํวงอายุ 40 ปี วัยชราเป็นขั้นมีความภูมิใจในความส าเร็จของชีวิต หรือเกิดความอาลัยท๎อแท๎สิ้นหวัง ไมํยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึน พัฒนาการบุคลิกทั้ง 8 ขั้นตอนของอีริคสันในขั้นพัฒนาการที่ 1-3 มีความเก่ียวข๎องกับวัยของเด็กกํอนประถม เด็กมีความสัมพันธ๑กับแมํ พํอ และครอบครัว ดังนั้นพํอ แมํ เป็นบุคคลที่มีความส าคัญตํอพัฒนาการทางบุคลิกภาพเด็กในวัยนี้เป็นอยํางมาก เด็กมีพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่สมบูรณ๑ในวัยผู๎ใหญํได๎ ขึน้อยูํกับรากฐานพัฒนาการในวัยนี้เป็นส าคัญ สรุปทฤษฏีพัฒนาการทางบุคลิกภาพของอิริคสัน ผู๎ที่มีสํวนเกี่ยวข๎องหรือครูผู๎ดูแลเด็กควรรู๎ และศึกษาวําเด็กปฐมวัยนั้น พํอ แมํ ผู๎ปกครอง ความสัมพันธ๑ซึ่งกันและกันในครอบครัวนั้นมีสํวนเกี่ยว ข๎องตํอพัฒนาการของเด็กปฐมวัย

Page 7: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

14

2.1.4 ทฤษฏีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) ของแบนดูรา (Bandura) (ส านักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแหํงชาติ,2535 : 8) Bandura (1986 )อ๎างถึงใน สิริมา ภิญโญอนันตพงษ๑,2542: 50-51) นักจิตวิทยารํวมสมัย (An Contemporary Phychologist) เกิดใน ค.ศ. 1925 เป็นนักจิตวิทยา ณ มหาลัยแสตนฟอร๑ด (Stanford University) แบนดูรา กลําววํา การเรียนรู๎ของมนุษย๑นั้นเกิดขึ้นจากพฤติกรรมบุคคลนั้นมีการปฏิสัมพันธ๑ (Interaction) อยํางตํอเนื่องระหวํางบุคคลนั้น (Person) และสิ่งแวดล๎อม (Environment) ซึ่งทฤษฏีนี้เน๎นบุคคลเกิดการเรียนรู๎โดยการให๎ตัวแบบ (Learning Through Modeling) โดยให๎ผู๎เรียนจะเลียนแบบจากตัวแบบแลการเลียนแบบนี้เป็นกระบวนการที่เกิดข้ึนอยํางตํอเนื่อง โดยอาศัยการสังเกตพฤติกรรมของตัวแบบ การสังเกตการณ๑ตอบสนองและปฏิกิริยาตํางๆของตัวแบบ สภาพแวดล๎อมของตัวแบบ ผลการกระท าค าบอกเลําและความนําเชื่อถือของตัวแบบได๎ การเรียนรู๎ของเด็กประถมจึงเกิดข้ึนได๎ ซึ่งกระบวนการตํางๆของการเลียนแบบของเด็กประกอบด๎วย 4 กระบวนการคือ

1. กระบวนการดึงดูดความสนใจ (Attentional Process) คือกิจกรรมการเรียนรู๎ที่เด็ก ได๎สังเกตตัวแบบและตัวแบบนั้นดึงดูดให๎เด็กสนใจที่จะเลียนแบบ ควรเป็นพฤติกรรมงํายๆ ไมํสลับซับซ๎อน งํายตํอการเอาใจใสํของเด็กท่ีเกิดการเลียนแบบและเกิดการเรียนรู๎

2. กระบวนการคงไว๎ (Retention Process) คือกระบวนการบันทึกรหัสเป็นความจ าการ กระท าที่เด็กจะต๎องมีความแมํนย าในการบันทึกสิ่งที่ได๎เห็น หรือได๎ยินเก็บเป็นความจ า ทั้งนี้เด็กดึงข๎อมูลที่ได๎จากตัวแบบออกมาใช๎กระท าตามโอกาสที่เหมาะสม เด็กท่ีมีอายุมากกวําจะเรียนรู๎จากการสังเกต การกระท าที่ฉลาดของบุคคลอื่นได๎มากกวํา โดยประมวลไว๎ในลักษณะของภาพพจน๑ (Imaginal Coding) และในลักษณะของภาษา (Verbal Coding) และเด็กโตขึ้นน าประสบการณ๑และสัญลักษณ๑ตํางๆมาเชื่อมโยง และตํอมาจะใช๎การเรียนรู๎มีเทคนิคน ามาชํวยเหลือความจ า คือ การทํองจ า การทบทวน หรือการฝึกหัด และการรวบรวมสิ่งที่เกี่ยวพันกันในเหตุการณ๑ซึ่งจะชํวยให๎เขาได๎เก็บสะสมความรู๎ในระดับซึ่งสามารถน ามาใช๎เมื่อต๎องการ

3. กระบวนการแสดงออก (Motor Reproduction Process) คือการแสดงผลการ เรียนรู๎ด๎วยการกระท าคือ การที่เด็กเกิดผลส าเร็จในการเรียนรู๎จากตัวแบบตํางๆ เพ่ือให๎เกิดความแมํนย า เด็กจะต๎องแสดงพฤติกรรมด๎วยการเคลื่อนไหวออกมา เป็นการกระท าออกมาในรูปของการใช๎กล๎ามเนื้อความรู๎สึก ด๎วยการกระท าครั้งแรกไมํสมบูรณ๑ ดังนั้นเด็กจะต๎องลองท าหลายๆครั้งเพ่ือให๎ได๎ลักษณะพฤติกรรมที่ต๎องการ แล๎วเขาก็ได๎รับทราบผลของการกระท าจากประสบการณ๑เหลํานั้น เพ่ือน ามาแก๎ไขพฤติกรรมที่ยังไมํเข๎ารูปเข๎ารอย สิ่งนี้จะท าให๎เกิดพัฒนาในการเรียนรู๎อยํางมีประสิทธิภาพ เด็กท่ีมีอายุมากกวําจะมีกล๎ามเนื้อท่ีแข็งแรงและสามารถควบคุมได๎ดีกวําที่มีอายุน๎อยกวํา

Page 8: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

15

4. กระบวนการจูงใจ (Motivational Process) คือกระบวนการเสริมแรงให๎กับเด็กเพ่ือ แสดงพฤติกรรมตามตัวแบบได๎ถูกต๎อง โดยเด็กเกิดการเรียนรู๎จากการเลียนแบบตัวแบบที่จะมาจากบุคคลที่มีชื่อเสียงมากกวําบุคคลที่ไมํมีชื่อเสียง จากการเลียนแบบที่มาจากบุคคลที่เป็นเพศเดียวกับเด็กมากกวําเป็นเพศตรงข๎ามกันจากการเลียนแบบตัวแบบที่เป็นเงินรางวัลเชํน ชื่อเสียง สถานภาพทางเศรษฐกิจสูง จากพฤติกรรมของบุคคลที่ถูกลงโทษ มีแนวโน๎มที่จะไมํถูกน ามาเลียนแบบ และจากการที่เด็กได๎รับอิทธิพลจากตัวแบบที่มีความคล๎ายคลึงกับเด็ก ได๎แกํอายุหรือสถานภาพทางสังคม แนวคิดของแบนดูรา (Bandura) เน๎นพฤติกรรมใดๆก็สามารถปรับหรือเปลี่ยนได๎ตามหลักการเรียนรู๎เป็นการกระตุ๎นเด็กมีการเรียนรู๎พัฒนาการทางด๎านสังคม โดยการใช๎การสังเกตตัวแบบที่เด็กเห็น เด็กมีระดับการเรียนรู๎แล๎วเด็กจะมีทางเลือกใหมํๆเพ่ิมมากขึ้นเพ่ือเก็บสะสมพฤติกรรมที่เป็นไปได๎เอาไว๎และยิ่งกวํานั้นตัวแบบจะชํวยให๎เขาเลือกสถานการณ๑ท่ีดีที่สุดไว๎ใช๎ปฏิบัติตํอไป สรุปทฤษฏีการเรียนรู๎ทางสังคม (Social Learning Theory) ของแบนดูรา (Bandura) ท าให๎ผู๎เกี่ยวข๎องสามารถน าความรู๎จากทฤษฏีนี้ไปจัดกิจกรรมให๎เด็กได๎เกิดการเรียนรู๎ได๎เพราะการเรียนรู๎ของเด็กมนุษย๑นั้นเกิดขึ้นจากพฤติกรรมบุคคลนั้นมีการปฏิสัมพันธ๑ (Interaction) อยํางตํอเนื่องระหวํางบุคคลนั้น (Person) และสิ่งแวดล๎อม (Environment) ซึ่งทฤษฏีนี้เน๎นบุคคลเกิดการเรียนรู๎โดยการให๎ตัวแบบ (Learning Through Modeling) โดยให๎ผู๎เรียนจะเลียนแบบจากตัวแบบแลการเลียนแบบนี้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอยํางตํอเนื่อง โดยอาศัยการสังเกตพฤติกรรมของตัวแบบ การสังเกตการณ๑ตอบสนองและปฏิกิริยาตํางๆของตัวแบบ สภาพแวดล๎อมของตัวแบบ ผลการกระท าค าบอกเลําและความนําเชื่อถือของตัวแบบได๎ การเรียนรู๎ของเด็กประถมจึงเกิดข้ึนได๎ ซึ่งกระบวนการตํางๆของการเลียนแบบของเด็กซ่ึงตัวแบบที่ส าคัญคือ ผู๎เกี่ยวข๎องกับตัวเด็ก ครู พํอ แมํ ผู๎ปกครอง

2.1.5 แนวคิดและหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพ้ืนฐาน,2546: 3) โดยยึดแนวคิดและหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย คือ แนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก พัฒนาการของมนุษย๑เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวมนุษย๑ เริ่มตั้งแตํปฏิสนธิตํอเนื่องไปจนตลอดชีวิต ซึ่งคลอบคลุมการเปลี่ยนแปลงในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ พัฒนาการทางด๎านรํางกาย อารมณ๑ จิตใจ สังคม และสติปัญญาจะมีความสัมพันธ๑และพัฒนาอยํางตํอเนื่องเป็นล าดับขั้นตอนไปพร๎อมกันทุกด๎าน เด็กแตํละคนจะเติบโตและมีลักษณะพัฒนาการแตกตํางกันไปตามวัย โดยที่พัฒนาการเด็กปฐมวัยลํงบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวเด็กอยํางตํอเนื่องในแตํละวัย เริ่มตั้งแตํปฏิสนธิจนถึงอายุ 5 ปี พัฒนาการของเด็กแตํละด๎านมีทฤษฎีเฉพาะอธิบายไว๎และสามารถน ามาใช๎ในการพัฒนาเด็กอาทิ ทฤษฎีพัฒนาการทางรํางกายที่อธิบายการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กวํามีลักษณะตํอเนื่องเป็นล าดับขั้น เด็กจะพัฒนาถึงขั้นใดจะต๎องเกิดวุฒิภาวะความสามารถขั้นนั้นกํอน หรือทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาที่อธิบายวําเด็กเกิดมาพร๎อมวุฒิภาวะซึ่งจะพัฒนาขึ้นตาม

Page 9: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

16

อายุ ประสบการณ๑ คํานิยมทางสังคม และสิ่งแวดล๎อม หรือทฤษฎีพัฒนาการสิ่งที่ตนพอใจ ได๎รับความรัก ความอบอํุนอยํางพอเพียงจากผู๎ใกล๎ชิด มีโอกาสชํวยเหลือตนเอง ท างานที่เหมาะสมตามวัยและมีอิสระที่จะเรียนรู๎ในสิ่งที่ตนอยากรู๎รอบๆตนเอง ดังนั้นแนวคิดเก่ียวกับพัฒนาการเด็ก (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน,2546 : 3-4 ) จึงเป็นเสมือนหนึ่งแนวทางให๎ผู๎สอนหรือผู๎ที่เกี่ยวข๎องได๎เข๎าใจเด็ก สามารถอบรมเลี้ยงดูเด็กและจัดประสบการณ๑ท่ีเหมาะสมกับวัยและความแตกตํางของแตํละบุคคลในอันที่จะสํงเสริมให๎เด็กพัฒนาจนบรรลุตามเปูาหมายที่ต๎องการได๎ชัดเจน แนวคิดเก่ียวกับการเรียนรู๎ การเรียนรู๎ของมนุษย๑สืบเนื่องมาจากประสบการณ๑ตํางๆที่ได๎รับ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเกิดขึ้นจากกระบวนการที่เด็กมีปฏิสัมพันธ๑กับบุคคลและสิ่งแวดล๎อมรอบตัว โดยเด็กจะต๎องเป็นผู๎กระท าให๎เกิดขึ้นด๎วยตนเองและการเรียนรู๎จะไปได๎ดีถ๎าเด็กได๎ใช๎ประสาทสัมผัสทั้งห๎า ได๎เคลื่อนไหว มีโอกาสคิดริเริ่มตามความต๎องการและความสนใจของตนเอง รวมทั้งอยูํในบรรยากาศที่เป็นอิสระอบอุํนและปลอดภัย ดังนั้น การจัดสภาพแวดล๎อมที่เอ้ือตํอการเรียนรู๎จึงเป็นสิ่งส าคัญที่จะชํวยสํงเสริมการเรียนรู๎ขอเด็ก และเนื่องจากการเรียนรู๎นั้นเป็นพ้ืนฐานของพัฒนาการในระดับที่สูงขึ้น ทั้งคนเราเรียนรู๎มาตั้งแตํเกิดตามธรรมชาติกํอนที่จะมาเข๎าสถานศึกษา การจัดท าหลักสูตรจึงยึดแนวคิดท่ีจะให๎เด็กได๎เรียนรู๎จากประสบการณ๑จริงด๎วยตัวเด็กเองในสภาพแวดล๎อมที่เป็นอิสระ เอ้ือตํอการเรียน และจัดกิจกรรมให๎เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของเด็กแตํละคน

แนวคิดเก่ียวกับการเลํนของเด็ก การเลํนถือเป็นกิจกรรมที่ส าคัญในชีวิตของเด็กทุกคนเด็ก จะรู๎สึกสนุกสนาน เพลิดเพลิน ได๎สังเกต มีโอกาสท าการทดลอง สร๎างสรรค๑แนวคิดแก๎ปัญหาและค๎นพบตัวเอง การเลํนจะมีอิทธิพลและมีผลดีตํอการเจริญเติบโต ชํวยพัฒนารํา งกาย อารมณ๑ จิตใจ สังคม และสติปัญญา จากการเลํนเด็กมีโอกาสเคลื่อนไหวสํวนตํางๆของรํางกายได๎ใช๎ประสาทสัมผัสและการรับรู๎ ผํอนคลายอารมณ๑ และแสดงออกถึงตนเอง เรียนรู๎ความรู๎สึกของผู๎อ่ืน การเลํนจึงเป็นทางที่เด็กจะสร๎างประสบการณ๑เรียนรู๎สิ่งแวดล๎อม เรียนรู๎ความเป็นอยูํของผู๎อ่ืนสร๎างความสัมพันธ๑อยูํรํวมกับผู๎อ่ืน กับธรรมชาติรอบตัว ดังนั้น หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยฉบับนี่จึงถือ “การเลํน” อยํางจุดมุํงหมายเป็นสํวนส าคัญของการจัดประสบการณ๑ให๎เด็ก

แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมและสังคม บริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยูํหรือ แวดล๎อมตัวเด็ก ท าให๎เด็กแตํละคนแตกตํางกันไป หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยฉบับนี้ถือวําผู๎สอนจ าเป็นต๎องเข๎าใจและยอมรับวําวัฒนธรรมและสังคมที่แวดล๎อมตัวเด็กมีอิทธิพลตํอการเรียนรู๎ การพัฒนาศักยภาพ และพัฒนาการของเด็กแตํละคน ผู๎สอนควรต๎องเรียนรู๎บริบททางสังคม และวัฒนธรรมของเด็กที่ตนรับผิดชอบ เพ่ือชํวยให๎เด็กได๎พัฒนา เกิดการเรียนรู๎และอยูํในกลุํมคนที่มาจากพ้ืนฐานเหมือนหรือตํางจากตนได๎อยํางราบรื่น มีความสุข สืบเนื่องมาจากพระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 ผนวกกับแนวคิด 4 ประการดังกลําวข๎างต๎น ท าให๎หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยก าหนดปรัชญาการศึกษาให๎

Page 10: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

17

สถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยได๎ทราบถึงแนวคิดหลักการพัฒนาเด็กปฐมวัยอายุ 3-5 ปี ทั้งนี้ผู๎รับผิดชอบจะต๎องด าเนินการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยของตนเอง และน าสูํการปฏิบัติให๎เด็กปฐมวัยมีมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค๑ที่ก าหนดไว๎ในจุดหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ได๎ก าหนดปรัชญาการศึกษาปฐมวัยไว๎ดังนี้

1) หลักการจัดการศึกษาปฐมวัย การจัดท าหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยฉบับนี้ยึดหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย (ส านักงาน

คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน,2546, หน๎า 5-6 ) คือ การสร๎างหลักสูตรที่เหมาะสม การพัฒนาหลักสูตรพิจารณาจากวัยและประสบการณ๑ของเด็ก โดยเป็นหลักสูตรที่มุํงเน๎นการพัฒนาเด็กทุกด๎าน ทั้งด๎านรํางกาย อารมณ๑ จิตใจ สังคม และสติปัญญา โดยอยูํบนพ้ืนฐานของประสบการณ๑เดิมที่เด็กมีอยูํ และประสบการณ๑ใหมํที่เด็กจะได๎รับต๎องมีความหมายกับตัวเด็ก เป็นหลักสูตรที่ให๎โอกาสทั้งเด็กปกติ เด็กด๎อยโอกาส และเด็กพิเศษ ได๎พัฒนารวมทั้งยอมรับในวัฒนธรรมและภาษาของเด็ก พัฒนาเด็กให๎รู๎สึกเป็นสุขในปัจจุบันมิใชํเพียงเพ่ือเตรียมเด็กส าหรับอนาคตข๎างหน๎าเทํานั้น การสร๎างสภาพแวดล๎อมที่เอ้ือตํอการเรียนรู๎ของเด็ก สภาพแวดล๎อมที่เอ้ือตํอการเรียนรู๎จะต๎องอยูํในสภาพที่สนองความต๎องการ ความสนใจของเด็กทั้งภายในและภายนอกห๎องเรียนผู๎สอนจะต๎องจัดสภาพแวดล๎อมให๎เด็กอยูํในที่สะอาด ปลอดภัย อากาศสะอาดสดชื่นผํอนคลาย ไมํเครียด มีโอกาสออกก าลังกายและพักผํอน มีสื่อ วัสดุ อุปกณ๑ มีของเลํนที่หลากหลายเหมาะสมกับวัย ให๎เด็กมีโอกาสได๎เลือกเลํน เรียนรู๎เกี่ยวกับตนเองและโลกที่เด็กอยูํ รวมทั้งพัฒนาการอยูํรํวมกับคนอ่ืนในสังคม ดังนั้น สภาพแวดล๎อมทั้งภายในและภายนอกห๎องเรียนจึงเป็นเสมือนหนึ่งสังคมท่ีมีคุณคําส าหรับเด็กแตํละคนจะเรียนรู๎และสะท๎อนให๎เห็นวําบุคคลในสังคมเห็นความส าคัญของการอบรมเลี้ยงดูและให๎การศึกษากับเด็กปฐมวัยการจัดกิจกรรมที่สํงเสริมพัฒนาการและการเรียนรู๎ของเด็ก (ส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน, 2546: 46) ผู๎สอนมีความส าคัญตํอการจัดกิจกรรมการพัฒนาเด็กอยํางมากผู๎สอนต๎องเปลี่ยนบทบาทจากผู๎บอกความรู๎หรือสั่งเด็กให๎ท าตามเป็นผู๎อ านวยความสะดวกในการจัดสิ่งแวดล๎อม ประสบการณ๑และการจัดกิจกรรมสํงเสริมพัฒนาการและการเรียนรู๎ของเด็กที่ผู๎สอนและเด็กมีสํวนที่จะริเริ่มทั้ง 2 ฝุาย โดยผู๎สอนจะเป็นผู๎สนับสนุน ชี้แนะ และเรียนรู๎รํวมกับเด็ก สํวนเด็กเป็นผู๎ลงมือกระท า เรียนรู๎ และค๎นพบด๎วยตนเอง ดังนั้นครุผู๎สอนจะต๎องยอมรับ เห็นคุณคํารู๎จักและเข๎าใจเด็กแตํละคนที่ตนดูแลรับผิดชอบกํอน เพ่ือจะได๎วางแผน สร๎างสภาพแวดล๎อม และจัดกิจกรรมที่จะสํงเสริมพัฒนาการและการเรียนรู๎ของเด็กได๎อยํางเหมาะสม นอกจากนี้ผู๎สอนจะต๎องรู๎จักพัฒนาตนเอง ปรับปรุง ใช๎เทคนิคการจัดกิจกรรมตํางๆให๎เหมาะสมกับเด็กการบูรณาการการเรียนรู๎ การจัดการเรียนการสอนในระดับปฐมวัยหลักการบูรณาการที่วํา หนึ่งแนวคิดเด็กสามารถเรียนรู๎ได๎หลายกิจกรรม หนึ่งกิจกรรมเด็กสามารถเรียนรู๎ได๎หลายทักษะและหลายประสบการณ๑ส าคัญดังนั้น เป็นหน๎าที่ของผู๎สอนจะต๎องวางแผนการจัดประสบการณ๑ในแตํละวันให๎เด็กเรียนรู๎ผํานการเลํนที่หลากหลายกิจกรรม

Page 11: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

18

หลากหลายทักษะ หลากหลายประสบการณ๑ส าคัญ อยํางเหมาะสมกับวัยและพัฒนาการเพ่ือให๎บรรลุจุดหมายของหลักสูตรแกนกลางที่ก าหนดไว๎การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู๎ของเด็ก (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน, 2546: 6) การประเมินพัฒนาการเด็กยึดวิธีการสังเกตเป็นสํวนใหญํ ผู๎สอนจะต๎องสังเกตและประเมินทั้งการสอนของตนเองและพัฒนาการการเรียนรู๎ของเด็กวําได๎บรรลุตามจุดประสงค๑และเปูาหมายที่วางไว๎หรือไมํ ผลที่ได๎จากการสังเกตพัฒนาการ จากข๎อมูลเชิงบรรยาย จากการรวบรวมผลงาน การแสดงออกในสภาพที่เป็นจริง ข๎อมูลจากครอบครัวของเด็ก ตลอดจนการที่เด็กประเมินตนเองหรือผลงานสามารถบอกได๎วําเด็กเกิดการเรียนรู๎และมีความก๎าวหน๎าเพียงใด ข๎อมูลจากการประเมินพัฒนาการจะชํวยผู๎สอนในการวางแผนการจัดกิจกรรมชี้ให๎ เห็นความต๎องการพิเศษของเด็กแตํละคน ให๎เป็นข๎อมูลในการสื่อสารกับพํอแมํ ผู๎ปกครองเด็กและขณะเดียวกันยังใช๎ในการประเมินประสิทธิภาพการจัดการศึกษาให๎กับเด็กวัยนี้ได๎อีกด๎วย ความสัมพันธ๑ระหวํางผู๎สอนกับครอบครัวของเด็ก เด็กแตํละคนมีความแตกตํางกัน ทั้งนี้เนื่องจากสภาพแวดล๎อมที่เด็กเจริญเติบโตขึ้นมา ผู๎สอนพํอแมํและผู๎ปกครองเด็กจะต๎องมีการเปลี่ยนข๎อมูล ท าความเข๎าใจพัฒนาการและการเรียนรู๎ของเด็กต๎องยอมรับและรํวมมือกันรับผิดชอบถือเป็นหุ๎นสํวนที่จะต๎องชํวยกันพัฒนาการเด็กให๎บรรลุเปูาหมายที่ต๎องการรํวมกันดังนั้นผู๎สอนจึงมิใชํจะแลกเปลี่ยนความรู๎กับพํอแมํผู๎ปกครองเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กเทํานั้น แตํจะต๎องให๎พํอแมํผู๎ปกครองมีสํวนรํวมในการพัฒนาด๎วย ทั้งนี้มิได๎หมายความให๎พํอแมํผู๎ปกครองเป็นผู๎ก าหนดเนื้อหาหลักสูตรตามความต๎องการโดยไมํค านึงถึงหลักการจัดที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก

จากแนวคิดและหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย ที่ส าคัญกับพัฒนาการของเด็กที่มี ความสัมพันธ๑และพัฒนาอยํางตํอเนื่องเป็นขั้นตอนไปพร๎อมกันทุกด๎าน แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู๎ที่ยึดให๎เด็กได๎เรียนรู๎จากประสบการณ๑จริงด๎วยตนเองในสิ่งแวดล๎อมที่เป็นอิสระเอ้ือตํอการเรียนรู๎และจัดกิจกรรมบูรณาการให๎เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของผู๎เรียนแตํละคนโดยถือวําการเลํนอยํางมีจุดุมํงหมายเป็นหัวใจส าคัญของการจัดประสบการณ๑ให๎กับเด็ก และแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมและสังคมที่แวดล๎อม ซึ่งมีอิทธิพลตํอการเรียนรู๎ การพัฒนาศักยภาพและพัฒนาการของเด็กแตํละคนและจากพระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 หมวดตํางๆ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2546 (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน, 2546: 7) จึงก าหนดสาระส าคัญของโครงสร๎างของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยขึ้น ซึ่งจะกลําวรายละเอียดตํอไป

2) การส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัย ในชํวง 5 ปีแรกของชีวิต เป็นระยะที่ส าคัญที่สุด เนื่องจากสมองของเด็กมีการเจริญเติบโต

และพัฒนาอยํางรวดเร็ว ซึ่งพํอแมํผู๎ปกครอง หรือครูผู๎ดูแลเด็ก ต๎องตระหนักถึงความส าคัญของพัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงตํางๆที่เกิดขึ้นทั้งด๎านรํางกาย อารมณ๑ จิตใจ สังคม สติปัญญา และลักษณะนิสัย โดยพัฒนาการการของเด็กในแตํละชํวงอายุอาจเร็วหรือช๎ากวําเกณฑ๑ที่ก าหนดตามวุฒิ

Page 12: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

19

ภาวะ หรือความพร๎อมของเด็กซึ่งต๎องมีการสํงเสริมให๎เหมาะตามวุฒิภาวะหรือความพร๎อมของเด็กแตํละคนตามชํวงอายุ (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น,2547: 43 ) โดยอาศัยความรํวมมือจาก พํอแม ํผู๎ปกครอง หรือครูผู๎ดูแลเด็กที่เก่ียวข๎องกับเด็กผํานกิจกรรมหรือกระบวนการตํางๆตํอไปนี้

1. หลักสูตรปฐมวัย 2. การจัดประสบการณ๑การเรียนรู๎ ประกอบด๎วย

2.1) สาระการเรียนรู๎ 2.2) แนวการเรียนรู๎

2.3) กิจกรรมการเรียนรู๎ 2.4) สื่อการเรียนและแหลํงการเรียนรู๎

3. จุดหมาย จุดหมายในหลักสูตร หมายถึง พฤติกรรมหรือสภาพที่พึงประสงค๑ท่ีต๎องการให๎เกิด

กับเด็ก คุณลักษณะตามวัย เป็นความสามรถหรือสภาพที่พึงประสงค๑ในพัฒนาการตามธรรมชาติเมื่อเด็กมีอายุถึงวัยนั้นๆขณะเดียวกันครูผู๎ดูแลเด็กจะต๎องค านึงถึงความแตกตํางระหวํางบุคคล คุณลักษณะตามวัยหรือสภาพที่พึงประสงค๑ได๎แกํ 1) พัฒนาการด๎านรํางกาย 2) พัฒนาการด๎านอารมณ๑ จิตใจ 3) พัฒนาการด๎านสังคม 4) พัฒนาการด๎านสติปัญญา

4. การจัดประสบการณ๑การเรียนรู๎ (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น,2547: 55 ) การ จัดประสบการณ๑ หมายถึง กระบวนการเรียนการสอนที่ให๎เด็กอายุ 0-5 ปี มีโอกาสได๎กระท ากิจกรรมด๎วยตนเอง กิจกรรมการเรียนรู๎จะไมํจัดเป็นรายวิชาแตํจัดในรูปของกิจกรรมบูรณาการผํานการเลํน เพ่ือให๎เด็กเรียนรู๎จากประสบการณ๑ตรงในสํวนนี้ให๎ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กเขียนระบุหลักการ วิธีการในการจัดประสบการณ๑ โดยศึกษาหลักการ แนวทางหลักสูตรปฐมวัยพุทธศักราช 2546 และเอกสารคูํมือการจัดประสบการณ๑เรียนรู๎ส าหรับเด็กเล็ก รวมทั้งเอกสารอ่ืนๆ ที่เกี่ยวข๎องประสบการณ๑ที่จัด ตารางกิจกรรมประจ าวันคือ ก าหนดการที่จะให๎ทราบได๎วําในแตํละวันศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กและครูผู๎ดูแลเด็กจะท าอะไรกันบ๎าง เมื่อใด เวลาใด ที่ไหน อยํางไร การก าหนดหลักการและขอบขํายการจัดกิจกรรมประวันไว๎ เพ่ือให๎ครูผู๎ดูแลเด็กใช๎เป็นหลักในการออกแบบกิจกรรมประจ าวันเองให๎สอดคล๎องกับสภาพสภาวะของชุมชน ท๎องถิ่นท่ีศูนย๑ฯ ตั้งอยูํ ตัวอยํางกิจกรรมประจ าวัน เชํน ช่วงเช้าเวลา 08.00 – 10.00 น. รับเด็ก ดูแลเด็กในเบื้องต๎น ดูแลให๎เด็กเก็บของใช๎สํวนตัวเข๎าที่เคารพธรงชาติ สวดมนต๑ไหว๎พระ เลํนอิสระ ท ากิจกรรมประจ าสัปดาห๑ ชํวงสายเวลา 10.00 - 10.30 น. เก็บของเลํน เข๎าห๎องน้ า ล๎างมือ รับประทานอาหารวํางเช๎า กิจกรรมกลุํม สนทนา ร๎องเพลง เลํานิทานเลํนกลางแจ๎ง จนถึงเวลาล๎างมือ ท าความสะอาดรํางกายรับประทานอาหารกลางวัน ล๎างหน๎า แปรงฟัน ช่วงบ่ายเวลา 13.00 - 15.00 น. นอนกลางวัน ตื่นนอนเลํนเกมการศึกษา รอผู๎ปกครองรับกลับบ๎าน

Page 13: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

20

ตัวอยํางกิจกรรมบางสํวนจากโรงเรียนอนุบาลบ๎านรัก (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น, 2547 : 52 ) กิจกรรมประจ าสัปดาห๑ คือ การก าหนดขอบขํายของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในสัปดาห๑ที่จัดให๎มีขึ้นสัปดาห๑ละครั้งหมุนเวียนกันทุกวันในหนึ่งสัปดาห๑มีความสัมพันธ๑กับธรรมชาติทุกฤดูกาล วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของท๎องถิ่นเพ่ือให๎เด็กได๎มีโอกาสเรียนรู๎ผํานการเลียนแบบการท างานจากผู๎ใหญํ ตัวอยํางการจัดกิจกรรมประจ าสัปดาห๑ เชํน วันจันทร๑ งานหัตถกรรม ร๎อยดอกไม๎ วันอังคาร ศิลปะ วาดภาพสีน้ า สีเทียน วันพุธ กีฬา ดนตรี วันพฤหัสบดี ท าอาหาร ขนม อาหารที่เด็กชอบ วันศุกร๑ ปลูกและดูแลต๎นไม๎ เก็บผักจากแปลงผักไปประกอบอาหาร ครูพาเด็ก เดินเลํนทัศนศึกษาในบริเวณโรงเรียนเพ่ือสังเกตธรรมชาติที่ เปลี่ยนแปลง ตัวอยําง จากโรงเรียนอนุบาลบ๎านรัก (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น,2547: 52 )

กิจกรรมประจ าปีการศึกษา คือ กิจกรรมที่เกิดจากความคิดที่ต๎องการสร๎างชุมชนที่มีความสุขเป็นการประสานความรํวมมือระหวํางผู๎ปกครองและผู๎ดูแลเด็กเพ่ือสืบสานวัฒนธรรมประเพณีรํวมกัน ในรอบ 1 ปี อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร๎อมให๎กับเด็กผํานประเพณี และวิถีชีวิตของท๎องถิ่น ตัวอยํางการจัดกิจกรรมประจ าปี เชํน 1.) กิจกรรมท าบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหมํ 2.) กิจกรรมวัน วิสาขบูชา 3.) กิจกรรมวันแมํแหํงชาติ 4.) กิจกรรมวันลอยกระทง เป็นต๎น

3) แนวการจัดประสบการณ์ การจัดประสบการณ๑การเรียนรู๎ส าหรับเด็กเล็ก (หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย) เน๎นการจัดในลักษณะของการดูแลและให๎เด็กเล็กได๎รับการพัฒนาแบบองค๑รวมทุกด๎าน ได๎แกํ รํางกาย อารมณ๑ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ตามวัย และความสามารถของแตํละบุคคล ในการน าเสนอเพ่ือให๎เป็นแนวทางในการจัดประสบการณ๑เรียนรู๎มีดังนี้

พัฒนาการด๎านรํางกาย กิจกรรมที่ควรสํงเสริมและสนับสนุนด๎านรํางกายเพ่ือให๎เด็กได๎มี โอกาสพัฒนาใช๎กล๎ามเนื้อใหญํ (กล๎ามเนื้อแขน-ขา-ล าตัว) กล๎ามเนื้อเล็ก (กล๎ามเนื้อมือ-นิ้วมือ) และการประสานสัมพันธ๑ระหวํางสัมพันธ๑ระหวํางกล๎ามเนื้อและระบบประสาท (กล๎ามเนื้อมือ-ประสาทตา) ในการท ากิจกรรมประจ าวันหรือท ากิจกรรมตํางๆเชํน การเคลื่อนไหวสํวนตํางๆของรํางกายตามจังหวะดนตรี และการเลํนเครื่องเลํนสัมผัส การเลํนออกก าลังกลางแจ๎ง ประสบการณ๑ที่ควรสํ ง เสริม (กรมสํ ง เสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น , 2547:54) ประกอบด๎วย การเคลื่อนไหวและการทรงตัวการประสานสัมพันธ๑ของกล๎ามเนื้อและระบบประสาทเด็กควรมีโอกาสเรียนรู๎ผํานกิจกรมและการเลํนในสภาพแวดล๎อมใกล๎ตัวได๎รับประสบการณ๑การใช๎กล๎ามเนื้อใหญํ กล๎ามเนื้อเล็กและฝึกการประสานสัมพันธ๑ระหวํางแขนกับขา มือกับปาก มือกับตาไปด๎วยกัน

พัฒนาการด๎านอารมณ๑ จิตใจ เป็นการสนับสนุนให๎เด็กแสดงออกทางอารมณ๑และ

Page 14: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

21

ความรู๎สึกที่เหมาะสมกับวัย มีความสุข แจํมใส ได๎พัฒนาความรู๎สึกที่ดีตํอตนเองและความเชื่อมั่นในตนเองจากการปฏิบัติกิจกรรมตํางๆในชีวิตประจ าวัน เชํน เลํน ฟังนิทาน ทํองค าคล๎องจอง ร๎องเพลง ประสบการณ๑ท่ีควรสํงเสริม ประกอบด๎วย การรับอารมณ๑หรือความรู๎สึกของตนเอง การแสดอารมณ๑ที่เป็นสุข การควบคุมอารมณ๑และการแสดงออก พํอแมํหรือผู๎เลี้ยงดูเป็นบุคคลที่มีสํวนส าคัญอยํางยิ่งในการท าให๎เด็กรู๎สึกเป็นที่รัก อบอํุน มั่นคง เกิดความรู๎สึกปลอดภัย ไว๎วางใจ ซึ่งจะสํงผลให๎เด็กสร๎างความรู๎สึกท่ีดีตํอตนเองและเรียนรู๎ที่จะสร๎างความสัมพันธ๑ที่ดีกับผู๎อ่ืน

พัฒนาการด๎านสังคมเป็นการสนับสนุนให๎เด็กได๎มีโอกาสมีปฏิสัมพันธ๑กับบุคคลและ สิ่งแวดล๎อมตํางๆรอบตัวในชีวิตประจ าวัน ได๎ปฏิบัติกิจกรรมตํางๆ เชํน เลํนอยํางอิสระ เลํนรวมกลุํมกับผู๎อ่ืน แบํงปันหรือการให๎รู๎จักการรอคอย ใช๎ภาษาบอกความต๎องการ ชํวยเหลือตนเองในกิจวัตรประจ าวัน ประสบการณ๑ที่ควรสํงเสริม ประกอบด๎วย การชํวยเหลือตนเอง การปรับตัวอยูํในสังคม เด็กควรมีโอกาสได๎เลํนรวมกลุํมหรือท ากิจกรรมรํวมกับผู๎อ่ืนไมํวําจะเป็นเด็กวัยเดียวกันหรือตํางวัย เพศเดียวกันหรือตํางเพศหรือผู๎ใหญํอยํางสม่ าเสมอตลอดจนฝึกให๎ชํวยเหลือตนเองในกิจวัตรประจ าวันตามท่ีเด็กสามารถท าได๎

พัฒนาการด๎านสติปัญญา เป็นการสนับสนุนให๎เด็กเรียนรู๎สิ่งตํางๆรอบตัวในชีวิตประจ าวัน ผํานประสาทสัมผัสทั้ง 5 และการเคลื่อนไหว ได๎พัฒนาการใช๎ภาษาสื่อความหมายและความคิด รู๎จักสังเกตคุณลักษณะตํางๆ ไมํวําจะเป็นสี ขนาด รูปรําง รูปทรง ผิวสัมผัส จดจ าชื่อเรียกสิ่งตํางๆรอบตัว มีการฝึกใช๎อวัยวะรับสัมผัสตํางๆ ได๎แกํ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนังในการแยกแยะสิ่งที่รับรู๎เกี่ยวกับความเหมือน ความแตกตําง และมติสัมพันธ๑ การจัดประสบการณ๑เรียนรู๎ (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น,2547,หน๎า 55) การจัดประสบการณ๑การเรียนรู๎ส าหรับเด็กปฐมวัย เน๎นการจัดในลักษณะของการดูแลและให๎เด็กได๎รับการพัฒนาแบบองค๑รวมในทุกด๎าน ได๎แกํ รํางกาย อารมณ๑ สังคม และสติปัญญา ตามวัยและความสามารถของแตํละบุคคล ซึ่งใช๎ขอบขํายกิจกรรมประจ าวันในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2546 เป็นกรอบในการน าเสนอเพ่ือให๎เป็นแนวทางในการจัดประสบการณ๑ โดยมีหลักการจัดดังนี้

1. จัดประสบการณ๑ให๎คลอบคลุมเด็กทุกประเภทที่มีอายุ 0-5 ปี 2. พัฒนาเด็กโดยยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให๎การศึกษา 3. พัฒนาเด็กโดยองค๑รวมผํานการเลํนที่เหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะ และความแตกตํางระหวําง

บุคคล 4. จัดประสบการณ๑ท่ีสามารถให๎เด็กได๎ด ารงชีวิตประจ าวันได๎อยํางมีคุณภาพและมีความสุข 5. พัฒนาเด็กโดยบุคคลที่มีความรู๎ ความสามารถในการจัดการศึกษาปฐมวัย

Page 15: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

22

6. พัฒนาเด็กโดยให๎ครอบครัวและชุมชนมีสํวนรํวมหลักการดังกลําวข๎างต๎น เมื่อน ามาจัด กิจกรรมประจ าวันจึงประกอบด๎วยกิจกรรมท่ีมุํงเน๎นพัฒนากล๎ามเนื้อใหญํ พัฒนากล๎ามเนื้อเล็ก พัฒนาอารมณ๑ จิตใจ และการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม พัฒนาสังคมนิสัย พัฒนาการคิด พัฒนาภาษา และกิจกรรมสํงเสริมจินตนาการและความคิดสร๎างสรรค๑ ดังนี้

1. กิจกรรมพัฒนากล๎ามเนื้อใหญํ (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น,2547:56) เพ่ือให๎เด็ก พัฒนาความแข็งแรงของกล๎ามเนื้อใหญํ การเคลื่อนไหวและความคลํองแคลํวในการใช๎อวัยวะตํางๆจึงแนะน าให๎จัดกิจกรรมให๎เด็กดังนี้

1.1 เลํนอิสระกลางแจ๎ง เป็นกิจกรรมที่มีความหลากหลาย มุํงพัฒนากล๎ามเนื้อใหญํ ขณะเดียวกัน เป็นการฝึกให๎เด็กได๎คิดตัดสินใจเลือกโดยอิสระด๎วยตนเอง เด็กเป็นผู๎เลือกที่จะเลํนเอง ทั้งวิธีการเลํน วัสดุอุปกรณ๑ท่ีใช๎ สถานที่ที่จะเลํนรํวมถึงเวลาที่เลํน

1.2 การเลํนเครื่องเลํนสนามเป็นกิจกรรมการเลํนเพ่ือให๎เด็กได๎รับประสบการณ๑ตรงมีโอกาสลง มือปฏิบัติและกระท าอุปกรณ๑เครื่องเลํนสนามได๎อยํางอิสระเป็นโอกาสที่เด็กจะได๎ใช๎กล๎ามเนื้อใหญํในการทรงตัว การโหน การโยกไหว การปีนขึ้นและไตํลง ควรมีการแนะน าวิธีการเลํนที่ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ

1.3 การเคลื่อนไหวรํางกายตามจังหวะดนตรี เป็นกิจกรรมที่เด็กได๎เคลื่อนไหวสํวนตํางๆ ของ รํางกายอยํางอิสระตามจังหวะ ด๎วยเสียงเพลง ค าคล๎องจอง เครื่องเคาะจังหวะ และอุปกรณ๑อ่ืนๆมรประกอบการเคลื่อนไหว

2. กิจกรรมพัฒนากล๎ามเนื้อเล็ก เพ่ือให๎เด็กได๎พัฒนาความแข็งแรงของกล๎ามเนื้อมือเล็ก การ ประสานสัมพันธ๑ระหวํางตากับมือ จึงแนะน ากิจกรรมให๎เด็กดังนี้

2.1 การเลํนเครื่องเลํนสัมผัส เป็นการที่เด็กใช๎ประสาทสัมผัสคือ ตา หู จมูก ลิ้น และการสัมผัส เพ่ือรับรู๎และมีปฏิสัมพันธ๑กับวัตถุสิ่งของที่เป็นเครื่องเลํนชนิดตํางๆเครื่องเลํนสัมผัสคือ สิ่งที่ครูผู๎ดูแลเด็กจัดท าขึ้น หรือจัดหามาให๎ได๎ใช๎ประสาทสัมผัสทั้งห๎า

2.2 การเลํนเกมตํอภาพ เกมตํอภาพเป็นเกมเพ่ือการศึกษา ลักษณะเป็นภาพบนแผํนกระดาษ แข็งหรือไม๎อัดบางมีขนาดพอเหมาะแกํการหยิบจับวางเป็นภาพที่เหมาะสมแกํวัย

2.3 การฝึกชํวยเหลือตนเองในการแตํงกายคือ ฝึกให๎เด็กรู๎จักหน๎าที่การปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน เกี่ยวกับการสวม ถอดเสื้อผ๎า การทาแปูง การหวีผม การถอดใสํถุงเท๎า รองเท๎า ด๎วยตนเอง การรู๎จักเลือกแตํงกายใหมํให๎เหมาะสมกับสถานที่ โอกาส และฤดูกาล โดยครูผู๎ดูแลเด็กเปิดโอกาสให๎เด็กเลือกเสื้อผ๎า กางเกง กระโปรง รองเท๎า ถุงเท๎า จากนั้นให๎เด็กแตํงกายด๎วยเสื้อผ๎าที่เด็กเลือก

2.4 การหยิบจับช๎อน ส๎อม การจัดสภาพแวดล๎อมให๎เด็กได๎มีโอกาสหยิบจับช๎อนส๎อม ประกอบด๎วย สถานที่ บริเวณที่เด็กใช๎รับประทานอาหาร ภาชนะ โต๏ะส าหรับเด็กนั่งรับประทานอาหาร ถาดอาหารหรือจานชาม จัดช๎อนไว๎ด๎านขวามือของเด็ก มีท่ีวํางในการวางแก๎วน้ า ด๎านซ๎ายคือ

Page 16: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

23

ที่วางส๎อม ซึ่งครูผู๎ดูแลเด็กต๎องฝึกให๎เด็กนั่งรับประทานอาหารอยํางถูกวิธีการ การตักอาหารและเมื่อรับประทานเสร็จแล๎วให๎มีการรวบช๎อนส๎อม และมีการวางภาชนะให๎เป็นระเบียบ

2.5 การใช๎อุปกรณ๑ศิลปะ เชํน สีเทียน กรรไกร พํูกัน ดินเหนียว ฯลฯ คือ การที่ครูผู๎ดูแลเด็กจัด สภาพแวดล๎อมให๎มีโอกาสใช๎ของรํวมกัน มีความอิสระตามความสนใจ ตามความพร๎อมของแตํละคน ให๎อิสระ และเข๎าใจธรรมชาติของเด็กการให๎เวลาวํางอยํางเต็มที่ ครูผู๎ดูแลเด็กควรเตรียมขนาดของอุปกรณ๑ให๎เหมาะสมกับขนาดของมือเด็ก

3. การพัฒนาอารมณ๑ จิตใจ และปลุกฝังคุณธรรมจริยธรรม เพ่ือให๎เด็กมีความรู๎สึกที่ดีตํอตนเอง และผู๎อ่ืน มีความเชื่อมั่น กล๎าแสดงออก มีวินัยในตนเอง มีความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย๑ การประหยัด ความเมตตากรุณา เอ้ือเฟ้ือแบํงปัน มีมารยาทปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทยและศาสนาที่ตนนับถือซึ่งครูผู๎ดูแลเด็กสามารถจัดกิจกรรมได๎ดังนี้

3.1 การจัดกิจกรรมให๎เด็กได๎มีโอกาสตัดสินใจเลือก เป็นการเปิดโอกาสให๎เด็กได๎เลํนและท า กิจกรรมเดี่ยวและกลุํม มีอิสระในการเลือกตามความพอใจและความสนใจของเด็ก

3.2 การจัดกิจกรรมให๎เด็กได๎รับการตอบสนองความต๎องการ เป็นวิธีการสร๎างความภาคภูมิใจ สร๎างความสุขในการเรียนรู๎ ซึ่งจะท าให๎เด็กมีความรู๎สึกที่ดีตํอตนเองและผู๎อ่ืน มีความเชื่อมั่นกล๎าแสดงออก สํงผลให๎เกิดนิสัยใฝุรู๎ใฝุเรียน โดยครูผู๎ดูแลเด็กต๎องสร๎างความไว๎วางใจให๎เด็กรู๎สึกอบอํุนและเป็นมิตร เพ่ือให๎ตอบสนองตํอกิจกรรมที่ก าหนดขึ้น

3.3 การฝึกปฏิบัติสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม คือการที่ครุผู๎ดูแลเด็กจัดกิจกรรมประจ าวันให๎ เด็กมีโอกาสพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ของตนอยํางตํอเนื่อง ได๎แกํ การรู๎จักชํวยเหลือแบํงปัน ความมีเมตตา การมีวินัย การรู๎จักอดทน และความรับผิดชอบที่เหมาะสมกับวัยและสอดคล๎องตํอวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี

4. กิจกรรมพัฒนาสังคมนิสัย เพ่ือให๎เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดีอันแสดงออกมาอยํางเหมาะสมอยูํรํวมกับผู๎อ่ืนอยํางมีความสุข

รู๎จักการท างานระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองและผู๎อื่นจึงแนะน าให๎จัดกิจกรรมอยํางสม่ าเสมอดั 4.1 การรับประทานอาหาร ควรจัดอยํางสม่ าเสมอเพ่ือปลูกฝังให๎เด็กรู๎คุณคําของอาหารมี

มารยาทในการรับประทานอาหาร 4.2 การพักผํอนนอนหลับ คือ การนั่ง การนอนหลับตา การฟังเพลงเบาๆ การฟังนิทาน การอําน

หนังสือนิทานให๎ฟัง ตลอดจนกิจกรรมผํอนคลายหลังการออกก าลังกาย การละเลํนที่ใช๎ก าลังมากๆเป็นกิจกรรมที่อาศัยอิริยาบถที่สบาย

4.3 การขับถําย การฝึกการขับถํายเป็นสิ่งจ าเป็นส าหรับเด็กๆเพ่ือให๎รู๎จักการขับถํายให๎เป็นเวลา รู๎จักการดุแลรักษาความสะอาดในการใช๎ห๎องน้ าห๎องส๎วม การรู๎จักเลือกรับประทานอาหารและดื่มน้ าที่สะอาด จะชํวยขับถํายให๎สะดวก

Page 17: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

24

4.4 การท าความสะอาดรํางกาย หมายถึง การล๎างหน๎า แปรงฟัน การอาบน้ า การตัดเล็บ การ ล๎างมือ ฯลฯ ครูผู๎ดูแลเด็กต๎องอธิบายให๎เด็กเข๎าใจการท าความสะอาดอยํางเป็นขั้นตอน

4.5 การเลํนและการท างานรํวมกับผู๎อื่น การเลํนเป็นประสบการณ๑ท่ีส าคัญส าหรับการเรียนรู๎ใน เด็กปฐมวัย ทั้งในทางตรงและทางอ๎อม ขณะเด็กเลํนจะได๎กระท าได๎สัมผัส ที่สนุกสนานนับวําการเลํนเป็นงานแหํงการเรียนรู๎ของเด็กๆ เด็กจะพัฒนาสติปัญญาจากการซึมซับความรู๎และพฤติกรรมตํางๆ จากการเลํน

4.6 การปฏิบัติตามกฎ กติกา ข๎อตกลง หมายถึง การฝึกเด็กให๎มีโอกาสแสดงออกอยํางเสรี แตํ อยูํภายใต๎ขอบเขตแหํงวินัยในตนเองเป็นส าคัญ เพื่อให๎เด็กสะท๎อนความรู๎สึกนึกคิดที่มีตํอการประพฤติปฏิบัติตน เป็นการปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดี

4.7 การเก็บของเข๎าท่ีเมื่อเลํนหรือท างานเสร็จ การจัดสภาพแวดล๎อมท้ังภายในและภายนอก ห๎องเรียนที่สอดคล๎องกับการเรียนรู๎นั้นเป็นบทบาทหน๎าที่ของครูผู๎ดูแลเด็กควรให๎เด็กปฎิบัติกิจวัตรประจ าวันอยํางถูกต๎อเหมาะสมให๎มีข๎อตกลงข๎อชี้แนะข๎อแนะน า และการสาธิตให๎เด็กรู๎

5. กิจกรรมพัฒนาการคิด เพ่ือพัฒนาความคิดรวบยอด การสังเกต การจ าแนก เปรียบเทียบ จัด หมวดหมูํ เรียงล าดับเหตุการณ๑ การแก๎ปัญหา เป็นต๎น จึงแนะน าให๎จัดกิจกรรมดังนี้

5.1 สนทนา อภิปรายเพ่ือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น คือ การพูดโต๎ตอบแลกเปลี่ยนความคิดเหมืน กันระหวํางครูผู๎ดูแลเด็ก เด็กกับเด็ก หรือเป็นการก าหนดเหตุการณ๑เชื่อมโยงจากเรื่องที่ผํานมาแล๎ว เรื่องรอบตัวที่เด็กพบเห็นในชีวิตประจ าวันทั้งกลุํมยํอยและกลุํมใหญํ น ามาให๎ครูและเด็กแสดงความคิดเห็นรํวมกัน

5.2 การเชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็ก หมายถึง การที่เด็กและครูลงความเห็นรํวมกันวําจะขอให๎ผู๎ มีความรู๎ความสามารถเกี่ยวกับเรื่องที่เด็กสนใจ มาเลํามาสนทนา สาธิต หรือแสดงเพ่ือให๎เด็กได๎เห็น ได๎รับรู๎ซึ่งน าไปสูํการที่เด็กสามารถสรุปค าตอบเกี่ยวกับสิ่งที่สนใจได๎ด๎วยตนเอง วิทยากร อาจหมายถึง บุคลากรในโรงเรียน ชุมชน ผู๎ปกครอง ตัวแทนหนํวยงานองค๑กรตํางๆ เป็นต๎น

5.3 การค๎นคว๎าจากแหลํงข๎อมูล หมายถึง การที่เด็กแสวงหาค าตอบในเรื่องที่ตนสนใจโดยมี ปฏิสัมพันธ๑จากคน สิ่งของ สื่อ หรือแหลํงการเรียนรู๎ ซึ่งอาจมีในห๎องเรียน หรือนอกห๎องเรียน ซึ่งแหลํงข๎อมูล หมายถึง สถานที่ คน สิ่งของ หนังสือ หรือสิ่งที่สามารถน าไปสูํการที่เด็กสรุปค าตอบด๎วยตนเองได๎

5.4 การทดลอง เป็นการที่เด็กตรวจสิ่งที่อยากรู๎ ตลอดจนข๎อสงสัยของตน เป็นการปฏิบัติด๎วย 5.5 ตนเองในการแสวงหาค าตอบ ครูผู๎ดูแลเด็กต๎อพยายามฝึกให๎เด็กใช๎กระบวนการทาง

วิทยาศาสตร๑ คือ การสังเกต การตั้งสมมติฐาน การลงมือปฏิบัติ การรวบรวมข๎อมูล การสรุปข๎อมูล การเรียงล าดับเหตุการณ๑ ซึ่งครูผู๎ดูแลเด็กต๎องค านึงถึงความสะดวกปลอดภัยในการใช๎อุปกรณ๑และความเหมาะสมตามวัยของเด็ก

Page 18: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

25

5.6 การศึกษานอกสถานที่ เป็นการเรียนรู๎ที่อยูํอาศัยประสบการณ๑ตรงโดยการพาออกไปนอก ห๎องเรียน อาจเป็นในบริเวณโรงเรียน สถานที่รอบๆ โรงเรียน แหลํงเรียนรู๎ในท๎องถิ่น ซึ่งครูผู๎ดูแลเด็กต๎องส ารวจและค านึงถึงความเหมาะสมความปลอดภัย เอื้อตํอการเรียนรู๎ของเด็ก

5.7 การประกอบอาหาร เป็นกระบวนการที่มุํงหวังให๎เด็กได๎มีโอกาสลงมือปฏิบัติกิจกรรมโดยใช๎ กระบวนการประกอบอาหารเพ่ือเป็นสื่อพัฒนากระบวนการคิดทักษะการใช๎ประสาทสัมผัสทั้งห๎า ทักษะพ้ืนฐานทางวิทยาศาสตร๑ ทักษะพ้ืนฐานคณิตศาสตร๑ ซึ่งครูผู๎ดูแลเด็กและเด็กต๎องรํวมกัน วางแผนการด าเนินงานตามขั้นตอนตํางๆ และมีการก าหนดความรับผิดชอบให๎เด็กแตํละคน

5.8 เกมการศึกษา ครูผู๎ดูแลเด็กจัดเตรียมไว๎ให๎เด็กเลํนในห๎องเรียน หรือนอกห๎องเรียนใน บรรยากาศสวนที่ผํอนคลาย ปลอดภัยและอิสระ เกมแตํละเกมนั้นต๎องมีวัตถุประสงค๑เฉพาะ

5.9 การแก๎ปัญหาในชีวิตประจ าวัน คือ การที่ครูผู๎ดูแลเด็กเปิดโอกาสให๎เด็กแก๎ปัญหาที่เกิดขึ้นใน ชีวิตประจ าวันด๎วนตนเอง เชํน การแตํงกาย การแบํงของ การรอคอย การขับถําย ซึ่งครูผู๎ดูแลเด็กต๎องอดทนและเสริมแรงด๎วยการแสดงความชื่นชมเมื่อเด็กแสดงความสามารถแก๎ปัญหาด๎วยตนเองได๎

6. กิจกรรมพัฒนาภาษา เพ่ือให๎เด็กได๎มีโอกาสใช๎ภาษาสื่อสาร ถํายความรู๎สึกนึกคิด ความรู๎ความเข๎าใจในเรื่องตํางๆที่เด็กมีประสบการณ๑ จึงแนะน าให๎จัดกิจกรรมทางภาษาให๎มีความหลากหลายเอ้ือตํอการเรียนรู๎มุํ งไปสูํการปลูกฝังรักการอํานเมื่อถึงวัยอันสมควรบุคคลากรแวดล๎อมต๎องเป็นแบบอยํางที่ดีในเรื่องการใช๎ภาษา ทั้งนี้ต๎องค านึงถึงการจัดกิจกรรมทางภาษา สํงเสริมการเรียนรู๎ของเด็ก เปิดโอกาสให๎เด็กใช๎ภาษาสื่อสารถํายทอดความรู๎สึกนึกคิด ความรู๎ความเข๎าใจในสิ่งตํางๆและใช๎ภาษาเพ่ือการแสวงหาความรู๎การจัดกิจกรรมพัฒนาทางภาษา ครูผู๎ดูแลเด็กต๎องให๎เด็กใช๎ทักษะทางภาษา ทั้งการฟัง การพูด โดยผํานกิจกรรมที่เหมาะสมกับเด็ก เชํน การฟังนิทานสร๎างสรรค๑ ที่มีเนื้อหาเชิงคุณธรรมและการใช๎ภาษาที่ถูกต๎อง บทกลอน บทเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับธรรมชาติ สอดคล๎องกับฤดูกาล วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของแตํละท๎องถิ่น

7. กิจกรรมสํงเสริมจินตนาการและความคิดสร๎างสรรค๑ เพ่ือให๎เด็กได๎พัฒนาความคิดริเริ่มสร๎างสรรค๑ ถํายทอดความรู๎สึกนึกคิด และเห็นความงดงามของสิ่งตํางๆ รอบตัวโดยใช๎กิจกรรมดังนี้ 7.1 กิจกรรมศิลปะและดนตรี

กิจกรรมศิลปะและดนตรี คือ การที่เด็กแตํละคนเลือกถํายทอดความคิดและความรู๎สึก อยํางอิสระผํอนคลายไปกับศิลปะและดนตรี เชํน งานเขียนภาพ ระบายสีน้ า และสีเทียน งานปั้น งานพิมพ๑ งานกระดาษ งานประดิษฐ๑ มีการเชื่อมโยงประสบการณ๑ท่ีสัมพันธ๑กับชีวิตประจ าวันและวิถีชีวิตในท๎องถิ่น สภาพแวดล๎อมและบรรยากาศต๎องเอื้อให๎เด็กรํวมกิจกรรมอยํางมีความสุขและอิสระ เด็กมีโอกาสเลือกท ากิจกรรมตามความถนัดและความสนใจ ทั้งงานกลุํมและงานเดี่ยวสํวนกิจกรรมดนตรี

Page 19: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

26

เป็นการเรียนรู๎ที่เน๎นการรับรู๎ด๎วยการฟัง และการแสดงออกด๎วยวิธีการตํางๆท่ีผสมผสานกันเพ่ือสร๎างสุนทรีภาพในจิตใจเกิดจินตนาการและความคิดสร๎างสรรค๑ 7.2 การเคลื่อนไหวและจังหวะตามจินตนาการ เป็นการถํายทอดความรู๎สึกนึกคิดที่อาศัย การเคลื่อนไหวขั้นพ้ืนฐานของสรีระสํวนตํางๆ ของรํางกายทั้งสํวนใหญํและสํวนยํอย เด็กเกิดจินตนาการและความคิดสร๎างสรรค๑ในลักษณะของการเคลื่อนไหวทั้งการเคลื่อนไหวอยูํกับที่และเคลื่อนที่ การประดิษฐ๑สิ่งตํางๆอยํางอิสระตามความคิดสร๎างสรรค๑ อาจสร๎างงานขึ้นมาจากวัสดุเหลือใช๎ หรือวัสดุจากธรรมชาติที่อยูํรอบๆตัวเด็ก แบํงตามความสนใจเป็นงานเดี่ยวหรืองานกลุํมการเลํนบทบาทสมมุติเป็นกิจกรรมที่เด็กแสดงบทบาทเรื่องราวหรือเหตุการณ๑ที่ เห็นในชีวิตประจ าวัน ครูผู๎ดูแลเด็กเป็นเพียงผู๎ดูแลให๎ค าแนะน าชี้แนะมีการชมเชยและควบคุมเวลา การเลํนน้ า กิจกรรมการเลํนน้ าท าให๎เด็กเกิดการเรียนรู๎และผํอนคลายฝึกทักษะการสังเกต การจ าแนก การเปรียบเทียบ การเลํนทราย กิจกรรมการเลํนทรายท าให๎เกิดการเรียนรู๎ สร๎างความพอใจ ผํอนคลายความเครียด ฝึกทักษะการสังเกต การแก๎ปัญหา การเปรียบเทียบเสริมสร๎างจินตนาการและความคิดสร๎างสรรค๑การเลํนกํอสร๎าง เด็กเลือกวัสดุอุปกรณ๑มาสร๎างเป็นรูปทรงสิ่งจ าลองตํางๆเพ่ือถํายทอดความคิดออกมาเป็นรูปธรรม อุปกรณ๑อาจเป็นไม๎ กลํองเปลํา หํอกระดาษ หรือพลาสติก ทั้งนี้ควรค านึงถึงความปลอดภัยและความเหมาะสม

การจัดประสบการณ๑การเรียนรู๎ในเด็กเล็กต๎องค านึงถึงความเหมาะสม ความปลอดภัย การใช๎ ทรัพยากรที่เน๎นความประหยัดและค๎ุมคํา ครูผู๎ดูแลเด็กควรเข๎าใจบทบาทตนเองวําต๎องเป็นผู๎ดุแล ชี้แนะ ให๎ค าปรึกษาเมื่อเด็กต๎องการ ครูผู๎ดูแลเด็กต๎องเป็นผู๎สังเกตและจดบันทึกพฤติกรรมเด็กอยํางตํอเนื่องและเป็นระบบ มีการแจ๎งผลพัฒนาการให๎ผู๎ปกครองทราบเพ่ือสร๎างความรํวมมือกันระหวํางครูผู๎ดูแลเด็กและผู๎ปกครอง เป็นการอบรมเลี้ยงดูรํวมกันระหวํางบ๎านกับศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กสื่อการเรียนรู๎ แหลํงเรียนรู๎ (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น, 2547: 63)

สื่อการเรียนรู๎ หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นตัวกลางในการถํายทอดความรู๎ประสบการณ๑ ทักษะ ทัศนคติ และคํานิยมไปสูํผู๎เรียน และท าให๎การเรียนรู๎นั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค๑ ความส าคัญของสื่อการเรียนรู๎สื่อเป็นเครื่องมือของการเรียนรู๎ ท าหน๎าที่ถํายทอดความรู๎ความเข๎าใจความรู๎สึกเพ่ิมพูนทักษะประสบการณ๑ สร๎างสถานการณ๑การเรียนรู๎ให๎แกํผู๎เรียนกระตุ๎นให๎เกิดการพัฒนาศักยภาพทางการคิด ได๎แกํ การคิดไตรํตรอง การคิดสร๎างสรรค๑ และการคิดอยํางมีวิจารณญาณ ตลอดจนสร๎างเสริมคุณธรรม จริยธรรมและคํานิยมให๎แกํผู๎เรียน สื่อการเรียนรู๎ในยุคปัจจุบันมีอิทธิพลสูงตํอการกระตุ๎นให๎ผู๎เรียนกลายเป็นผู๎แสวงหาความรู๎ด๎วยตนเองมีมากมายหลายรูปแบบ มีบทบาทและให๎คุณประโยชน๑ตํางๆ เชํน (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น, 2547: 64)

1. ชํวยให๎ผู๎เรียนเข๎าใจความคิดรวบยอดได๎งํายขึ้น รวดเร็วขึ้น 2. ชํวยให๎ผู๎เรียนมองเห็นสิ่งที่ก าลังเรียนรู๎ได๎อยํางเป็นรูปธรรมและเป็นกระบวนการ 3. ชํวยให๎ผู๎เรียนเรียนรู๎ด๎วยตนเอง สํงเสริมให๎เกิดความคิดสร๎างสรรค๑

Page 20: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

27

4. สร๎างสภาพแวดล๎อมประสบการณ๑เรียนรู๎ที่แปลกใหมํนําสนใจและท าให๎อยากรู๎อยากเห็น 5. สํงเสริมการมีกิจกรรมรํวมกันระหวํางผู๎เรียน 6. เกื้อหนุนผู๎เรียนที่มีความสนใจและความสามารถในการเรียนรู๎ที่ตํางกันให๎เรียนรู๎ได๎เทํา

เทียมกัน 7. ชํวยให๎ผู๎เรียนบูรณาการสาระการเรียนรู๎ตํางๆ ให๎เชื่อมโยงกัน 8. ชํวยให๎ผู๎เรียนได๎เรียนรู๎การใช๎สื่อและแหลํงข๎อมูลตํางๆ เพ่ือการค๎นคว๎าเพ่ิมเติม 9. ชํวยให๎ผู๎เรียนได๎รับการเรียนในหลายมิติจากสื่อที่หลากหลาย 10. เชื่อมโยงโลกท่ีอยูํไกลตัวผู๎เรียนให๎เข๎ามาสูํการเรียนรู๎ของผู๎เรียน

4) ประเภทของสื่อพัฒนาการ 4 ด้าน

สื่อระดับปฐมวัยแบํงออกเป็น 4 ประเภทใหญํๆ ดังนี้ (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น,2547: 65 )

1. ด๎านรํางกาย ได๎แกํ สื่อฝึกประสาทสัมผัสทั้ง 5 สื่อพัฒนาความพร๎อมทางรํางกาย 2. ด๎านจิตใจ อารมณ๑ ได๎แกํ สื่อพัฒนาความพร๎อมด๎านดนตรีและกิจกรรมเข๎าจังหวะ

สื่อพัฒนาความพร๎อมด๎านศิลปะและความคิดสร๎างสรรค๑ 3. ด๎านสังคม ได๎แกํ สื่อพัฒนาความพร๎อมด๎านสังคม 4. ด๎านสติปัญญา ได๎แกํ สื่อพัฒนาความพร๎อมด๎านวิทยาศาสตร๑ สื่อพัฒนาความพร๎อมด๎าน

คณิตศาสตร๑ สื่อพัฒนาความพร๎อมด๎านภาษา ลักษณะของสื่อการเรียนรู๎ที่เหมาะสมกับเด็กเล็ก (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น, 2547: 65 ) สื่อสิงพิมพ๑ หมายถึง หนังสือและเอกสารสิ่งพิมพ๑ตํางๆซึ่งได๎แสดงหรือจ าแนกหรือเรียบเรียงสาระความรู๎ตํางๆโดยใช๎ตัวหนังสือที่เป็นตัวเขียนหรือตัวพิมพ๑เป็นสื่อ เพ่ือแสดงความหมายสื่อสิ่งพิมพ๑อีกหลายประเภท เชํน เอกสาร หนังสือ ต ารา หนั งสือพิมพ๑ นิตยสาร วารสาร จุลสาร จดหมาย จดหมายเหตุ บันทึก รายงาน วิทยานิพนธ๑ เป็นต๎น ได๎แกํ

1. สื่อเทคโนโลยี หมายถึง สื่อการเรียนรู๎ที่ได๎ผลิตขึ้นเพ่ือใช๎ควบคุมเครื่องมือโสตทัศนวัสดุ หรือเครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยีใหมํๆ เชํน แถบบันทึกภาพพร๎อมเสียง (วีดีทัศน๑) แถบบันทึกเสียง สไลด๑ สื่อคอมพิวเตอร๑ชํวยสอน นอกจากนี้สื่อเทคโนโลยีหมายรวมถึง กระบวนการตํางๆที่เกี่ยวข๎องกับการน าเทคโนโลยีมาประยุกต๑ใช๎ในการเรียนการสอน เชํน การใช๎อินเทอร๑เน็ตเพื่อการเรียนการสอนการศึกษาผํานดาวเทียม

2. สื่ออ่ืนๆ นอกจากสื่อสิ่งพิมพ๑และสื่อเทคโนโลยีแล๎ว ยังมีสื่ออ่ืนๆที่สํงเสริมการเรียนการสอน

Page 21: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

28

ซ่ึง มีความส าคัญไมํยิ่งหยํอนไปกวําสื่อ 2 ประเภทดังกลําวมาแล๎วนั้น สื่อเหลํานี้อาจแบํงได๎เป็น 4 ประเภทใหญํๆ ดังนี้

2.1 สื่อบุคคล หมายถึง บุคคลที่มีความรู๎ความสามารถ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด๎าน ซึ่ง สามารถท าหน๎าที่ถํายทอดสาระความรู๎ แนวคิด เจตคติและวิธีปฏิบัติตนไปสูํบุคคลอ่ืน สื่อบุคคลอาจเป็นบุคลากรที่อยูํในระบบโรงเรียน เชํน ผู๎บริหาร ครูผู๎สอน ตัวผู๎เรียน นักการ ภารโรง หรืออาจเป็นบุคคลภายนอกโรงเรียน เชํน บุคลากรท๎องถิ่นที่มีความช านาญในสายอาชีพตํางๆเป็นต๎น

2.2 สื่อธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือสภาพที่อยูํ รอบตัวผู๎เรียน เชํน พืชผัก ผลไม๎ สัตว๑ชนิดตํางๆ เหตุการณ๑ตํางๆ สภาพดินฟูาอากาศ ห๎องเรียน ห๎องปฏิบัติการ แหลํงวิทยาบริการหรือแหลํงเรียนรู๎ ห๎องสมุด ชุมชน สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ สิ่งเหลํานี้เป็นสื่อที่มีความส าคัญตํอการสํงเสริมการเรียนรู๎ซึ่งครูผู๎ดูแลเด็กหาได๎ไมํยาก

2.3 สื่อกิจกรรม/กระบวนการ หมายถึง กิจกรรมหรือกระบวนการที่ครูหรือผู๎เรียน ก าหนดขึ้นเพ่ือเสริมสร๎างประสบการณ๑การเรียนรู๎ ใช๎ในการฝึกทักษะซึ่งต๎องใช๎กระบวนการคิด การปฏิบัติ การเผชิญสถานการณ๑ และการประยุกต๑ความรู๎ของผู๎เรียน เชํน การแสดงละคร บทบาทสมมุติ การสาธิต สถานการณ๑จ าลอง การจัดนิทรรศการ การไปทัศนศึกษานอกสถานที่ การท าโครงงาน เกมเพลง การปฏิบัติตามใบงาน ฯลฯ

2.4 สื่อวัสดุ/เครื่องมืออุปกรณ๑ หมายถึง วัสดุที่ประดิษฐ๑ขึ้นเพ่ือประกอบการเรียนรู๎ เชํน หุํนจ าลอง แผนภูมิ แผนที่ ตาราง สถิติ กราฟ ฯลฯ นอกจากนี้ยังรวมถึงสื่อประเภทเครื่องมือและอุปกรณ๑ท่ีจ าเป็นต๎องใช๎ในการปฏิบัติงานตํางๆเชํนอุปกรณ๑ทดลองวิทยาศาสตร๑เครื่องมือวิชาชําง เป็นต๎นการเลือกสื่อ ผกรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น, 2547: 67) สามารถท าได๎ดังนี้

1. เลือกให๎ตรงกับจุดมุํงหมายและเรื่องที่สอน 2. เลือกให๎เหมาะสมกับวัยและความสามารถของเด็ก 3. มีวิธีการใช๎งํายและน าไปใช๎ได๎หลายกิจกรรม 4. มีเนื้อหาถูกต๎องและทันสมัย 5. มีคุณภาพเชํน ภาพชัดเจน ขนาดเหมาะสม สีไมํสะท๎อนแสง 6. เลือกสื่อที่ชํวยให๎เด็กเข๎าใจในสิ่งที่สอนในเวลาที่เหมาะสม 7. เลือกสื่อที่เป็นจริงสามารถสัมผัสได๎กํอนที่จะพิจารณาใช๎สื่ออ่ืนแทน 8. เลือกสื่อให๎เหมาะสมกับสภาพแวดล๎อมของท๎องถิ่นที่เด็กอยูํ 9. เลือกสื่อที่มีความแข็งแรงและทนทาน 10. เลือกสื่อที่ไมํเป็นอันตรายตํอเด็ก

Page 22: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

29

การใช๎สื่อขั้นตอนในการใช๎สื่อมีดังนี้ 1. ขั้นน าสูํบทเรียน ใช๎สื่อเพ่ือกระตุ๎นให๎ผู๎เรียนเกิดความสนใจในเรื่องที่จะเรียนรู๎โดยพิจารณาสื่อที่

จะน ามาใช๎ดังนี้ เป็นสื่อที่งํายตํอการน าเสนอ ใช๎เวลาตามความเหมาะสม เชํน ภาพของจริง สื่อที่ประดิษฐ๑ ฯลฯ เป็นสื่อที่เกี่ยวข๎องกับเนื้อหาที่เรียนในครั้งกํอน เป็นสื่อที่ไมํเน๎นเนื้อหาเจาะลึก

2. ขั้นด าเนินการสอน โดยพิจารณาสื่อท่ีน ามาใช๎ดังนี้ สื่อต๎องตรงกับเนื้อหาที่สอนสื่อมีการ จัดล าดับขั้นตอนการใช๎ที่เหมาะสมและสอดคล๎องกับการจัดประสบการณ๑สื่อมีความละเอียด ถูกต๎อง และชัดเจน เชํน แผนภูมิ ภาพยนตร๑ สไลด๑ ของจริง

3. ขั้นสรุปพิจารณาสื่อที่น ามาใช๎คือเป็นสื่อที่ครอบคลุมเนื้อหาที่ส าคัญทั้งหมดกระชับไมํยืดเยื้อ ประโยชน๑และคุณคําของสื่อ

1. ชํวยให๎เกิดแรงจูงใจในการเรียนรู๎ 2. ชํวยให๎เกิดการเรียนรู๎ได๎ดีและงํายขึ้น 3. ชํวยให๎ประหยัดเวลาในการสอน 4. ชํวยเสริมสร๎างความคิดสร๎างสรรค๑ของเด็ก

5) แหล่งการเรียนรู้ส าหรับเด็กเล็ก แหลํงการเรียนรู๎ส าหรับเด็กเล็ก หมายถึง สภาพแวดล๎อมท้ังในและนอกศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กท่ีจะชํวยให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนรู๎ ให๎ผู๎เรียนฝึกปฏิบัติหรือค๎นคว๎าด๎วยตนเองเพ่ือให๎เกิดการเรียนรู๎ และแลกเปลี่ยน การเรียนรู๎ระหวํางกลุํมเพื่อน ระหวํางครูกับผู๎เรียน ระหวํางวิทยากรประจ าแหลํงการเรียนรู๎กับครูและผู๎เรียนรวมทั้งเป็นแหลํงที่ผู๎เรียนอาจอาศัยการค๎นคว๎าของตนเองเพ่ือแสวงหาความรู๎เพ่ิมเติมความส าคัญของแหลํงการเรียนรู๎ (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องงถิ่น, 2547: 68 )

1. ชํวยให๎เด็กได๎ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การประยุกต๑ความรู๎มาใช๎ปูองกันและแก๎ปัญหา 2. เพ่ือให๎เด็กได๎เรียนรู๎จากประสบการณ๑จริง ฝึกปฏิบัติ ให๎คิดได๎ คิดเป็น ท าเป็น 3. ชํวยให๎เด็กเกดการใฝุรู๎อยํางตํอเนื่องตลอดกาล รักการอําน 4. เด็กเกิดคํานิยมที่ดีงามมีคุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะที่พึงประสงค๑ 5. ท าให๎เด็กเกิดการเรียนรู๎อยํางมีความสุข

แหลํงการเรียนรู๎ส าหรับเด็กเล็กทางศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กสามารถจัดด าเนินการได๎ดังนี้ 1. แหลํงการเรียนรู๎ในศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก เชํน สวนสุขภาพ สวนธรรมมะ สวนสมุนไพร ฯลฯ 2. แหลํงการเรียนรู๎ในท๎องถิ่น เชํน ห๎องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ๑ วิทยาศาสตร๑ หอศิลป์ สวนสัตว๑

สวนสาธารณะ สวนพฤกษาศาสตร๑ อุทยาน วิทยาศาสตร๑ สถานประกอบการแหลํงเรียนรู๎ ประเภทของแหลํงการเรียนรู๎ภายในศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก 1. บุคลากร ครู หัวหน๎าศูนย๑ ครูผู๎ดูแลเด็ก และบุคลากรที่เกี่ยวข๎อง เพ่ือน ได๎แกํ เพ่ือนในศูนย๑ฯ

Page 23: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

30

2. สิ่งแวดล๎อม สวนพฤกษาศาสตร๑ สวนสมุนไพร สวนปุาธรรมชาติ แปลงเกษตร ฯลฯ 3. สื่อวัสดุ อุปกรณ๑และเทคโนโลยี หนังสือพิมพ๑ โทรทัศน๑ วิทยุ ของเลํนตํางๆ หนังสือเสริม

ความรู๎ คอมพิวเตอร๑ ฯลฯ

ประเภทแหลํงการเรียนรู๎ภายนอกศูนย๑ (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น, 2547: 69 ) 1. การเรียนรู๎จากพิพิธภัณฑ๑สถาน พิพิธภัณฑ๑สถานเป็นสถาบันถาวรที่เก็บรวบรวมและแสดงสิ่ง

ตํางๆที่มีความสัมพันธ๑ด๎าน ประวัติศาสตร๑ วัฒนธรรมหรือวิทยาศาสตร๑ โดยมีความมุํงหมายเพื่อเป็นประโยชน๑ตํอการศึกษาเลําเรียน เชํน วัด วัง โบสถ๑ ที่มีอายุเกําแกํกวํา 100 ปีขึ้นไป

2. การเชิญวิทยากรภายนอกมาให๎ความรู๎ในท๎องถิ่น วิยากรภายนอก เชํน ผู๎ปกครองนักเรียนที่มี ความสามารถด๎านตํางๆ มีภูมิปัญญาชาวบ๎าน บุคคลส าคัญในชุมชน เจ๎าของกิจกรรมที่นําสนใจในชุมชน ศิษย๑เกําที่ประสบความส าเร็จ โดยเปิดโอกาสให๎ผู๎เรียนได๎เรียนรู๎บุคคลากรด๎านตํางๆได๎เป็นอยํางดี

3. การศึกษานอกสถานที่ หรือทัศนศึกษา เป็นการจัดการเรียนรู๎สภาพจริง ผู๎เรียนจะได๎เรียนรู๎ จากสภาพจริง เป็นการชํวยเสริมประสบการณ๑ หรือสร๎างมุมมองใหมํในการมองสิ่งตํางๆรอบตัวสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ๑ระหวํางตนกับสิ่งแวดล๎อมรอบตัว เชํน การศึกษาสิ่งมีชีวิตที่อยูํในแหลํงน้ าใกล๎ศูนย๑ ครูผู๎ดูแลเด็กสามารถกระตุ๎นให๎เด็กคิดเพ่ิมวําสิ่งมีชีวิตที่อยูํในน้ ามีประโยชน๑ มีโทษตํอคนเราหรือไมํ

4. กิจกรรมแรลลี่ เป็นการจัดการเรียนรู๎ที่ประยุกต๑มาจากรูปแบบการแขํงรถยนต๑ซึ่งเมื่อประยุกต๑ มาใช๎การศึกษาจากแหลํงการเรียนรู๎ที่เหมาะสม เชํน สวนสัตว๑ สวนสาธารณะ จัดให๎เด็กแขํงขันกันเป็นกลุํมจะให๎เด็กได๎มีโอกาสเรียนรู๎จากกิจกรรมแรลลี่และเรียนรู๎เป็นกลุํมไปพร๎อมกัน

5. กิจกรรมโครงการ เป็นการจัดแหลํงการเรียนรู๎ที่สอดคล๎องกับความสนใจ ความต๎องการตาม ศักยภาพของผู๎เรียน ประเภทของโครงงานตามความพร๎อมและความสนใจของเด็ก

6. แหลํงการเรียนรู๎ทางอิเล็กทรอนิกส๑ แหลํงข๎อมูลทางอิเล็กทรอนิกส๑ ที่ส าคัญในปัจจุบันคือ อินเทอร๑เน็ต (Internet) ซึ่งมีเว็ปไซด๑ (Website) ส าหรับเด็กที่เป็นภาษาไทย จัดท าในรูปแบบของตัวอักษร ภาพเคลื่อนไหว เสียงเรียกวํา ระบบมัลติมีเดีย ตั้งแตํระดับปฐมวัยขึ้นไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัยการประเมินและรายงานผล (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น,2547: 75 )

6) ความหมายของการประเมินและรายงานผลพัฒนาการของเด็กเล็ก การประเมินผล (Assessment) โดยทั่วๆไป หมายถึง กระบวนการพิจารณาตัดสินคุณภาพ

หรือคุณลักษณะของพฤติกรรม หรือประมาณพฤติกรรมวําเป็นไปตามจุดมุํงหมายที่ก าหนดหรือไมํ โดยมีการเก็บข๎อมูลรวบรวมข๎อมูล และ สรุปผลเปรียบเทียบกับเกณฑ๑ที่ก าหนด

Page 24: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

31

การประเมินพัฒนาการของเด็กเล็ก หมายถึง กระบวนการศึกษาข๎อมูล คุณลักษณะหรือความสามรถในด๎านตํางๆของเด็กเล็ก ในแตํละชํวงวัยโดยใช๎เครื่องมือและวิธีการที่เหมาะสมในการเก็บรวบรวมข๎อมูลและสรุปผลการเปรียบเทียบกับเกณฑ๑ปกติขอพัฒนาการเด็กปฐมวัย การรายงานผลพัฒนาการของเด็กเล็ก หมายถึง การน าเสนอผลการประเมินคุณลักษณะหรือความสามารถในด๎านตํางๆของเด็กเล็กตามสภาพความเป็นจริงที่ปรากฏ โดยมีผลสรุปจากการเปรียบเทียบเกณฑ๑ปกติขอพัฒนาการเด็กปฐมวัยในรูปของรายงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจนและเข๎าใจงําย ความส าคัญของการประเมินและรายงานผลพัฒนาการของเด็กเล็กโดยเฉพาะอยํางยิ่งผู๎ที่มีสํวนเกี่ยวข๎องกับการอบรมเลี้ยงดูและพัฒนาการเด็กถือวําเป็นหน๎าที่ส าคัญที่ต๎องท าการประเมินและรายงานพัฒนาการเด็กที่อยูํในความรับผิดชอบเป็นระยะๆอยําตํอเนื่อง สม่ าเสมอ เนื่องจากความส าคัญคือ ความเข๎าใจธรรมชาติและความแตกตํางระหวํางบุคคลของเด็ก ท าให๎ทราบข๎อมูลระดับพัฒนาการและความพร๎อมของเด็กแตํละคนเมื่อน ามาเปรียบเทียบเกณฑ๑พัฒนาเด็กตามวัย จะท าให๎รู๎วําระดับความสามารถและปัญหาด๎านตํางๆของเด็กต๎องได๎รับการสํงเสริมหรือปรับปรุงแก๎ไขอยํางไร ท าให๎การวางแผนและตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนเกิดประโยชน๑สูงสุดตํอเด็ก ซึ่งการจัดกิจกรรมตํางๆต๎องสํงเสริมให๎เด็กมีความสามารถมากขึ้นและคลี่คลายปัญหาตํางๆได๎ลง ท าให๎พํอ แมํ ผู๎ปกครองและผู๎ที่เกี่ยวข๎องกับเด็ก ได๎รับความรู๎ความสามารถและการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเด็ก ชํวยให๎สามารถก าหนดทิศทางในการพัฒนาเด็กได๎เหมาะสมตํอไป ขั้นตอนการประเมินพัฒนาการ ศึกษาและท าความเข๎าใจพัฒนาการของเด็กในแตํละชํวงวัยทุกด๎านทั้งรํางกาย อารมณ๑ -จิตใจ สังคมและสติปัญญาจึงจะสามารถประเมินพัฒนาการได๎อยํางถูกต๎องและตรงกับความเป็นจริง วางแผนเลือกใช๎วีการและเครื่องมือที่เหมาะสมส าหรับใช๎บันทึกและประเมินพัฒนาการเพ่ือได๎ผลของพัฒนาการถูกต๎องตามความต๎องการ ด าเนินการประเมินและบันทึกพัฒนาการซึ่งกํอนการประเมิน ต๎องศึกษาวิธีการใช๎เครื่องมืออยํางละเอียดและปฏิบัติตามอยํางเครํงครัด ประเมินและสรุป ซึ่งต๎องดูจากผลการประเมินหลายๆครั้ง รายงานผล ซึ่งต๎องพิจารณาวํา จะต๎องสํงผลการประเมินให๎กับใครบ๎าง เพ่ืออะไร และต๎องใช๎ รูปแบบใดในการรายงาน เพื่อผลที่ได๎จะเกิดประโยชน๑อยํางแท๎จริง ให๎ผู๎ปกครองมีสํวนรํวมในการประเมิน ท าให๎ผู๎ปกครองรู๎สึกถึงความส าคัญของตนแบะต๎องการที่จะมีสํวนรํวมในการพัฒนาเด็กขอตน ตลอดจนสามารถน าความคิดเห็นจากผู๎ปกครองมาเป็นพ้ืนฐานในการจัดกิจกรรมให๎เหมาะสมส าหรับพัฒนาเด็กตํอไป การประเมินพัฒนาการ ซึ่งถือเป็นกระบวนการตํอเนื่อง ที่ต๎องน ามารวบรวมเพ่ือรายงานผลพัฒนาการในสมุดรายงานประจ าตัวเด็กทุกภาคเรียนและรายงานให๎ผู๎ปกครองทราบอยํางชัดเจนและตํอเนื่อง ควรมีชํวงเวลาด าเนินการดังตํอไปนี้

1. กํอนเรียน จัดท าข๎อมูลของเด็กเป็นรายบุคคลให๎ผู๎ปกครอง กรอกข๎อมูลและสัมภาษณ๑ ผู๎ปกครองเด็ก เชํน ข๎อมูลทั่วไป ประวัติสุขภาพ ลักษณะนิสัย

Page 25: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

32

2. ระหวํางเรียน จัดท าเครื่องมือประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยตามสถานการณ๑จริงด๎วย วิชาการท่ีหลากหลายๆด๎านมีการจดบันทึกอยํางเป็นระบบ เมื่อน าข๎อมูลที่ได๎มาจัดประสบการณ๑ เพ่ือพัฒนาเด็กให๎สอดคล๎องกับความสามารถ หรือศักยภาพของแตํละคน

3. หลังเรียน ข๎อมูลที่ได๎จากการรวบรวมจะต๎องน ามาประเมินพัฒนาการสรุปและเขียน รายงานผลพัฒนาการลงในสมุดรายงานประจ าตัวทุกภาคเรียน

การประเมินพัฒนาพัฒนาการ (กรมสํงเสริมการปกครองสาวนท๎องถิ่น, 2547: 78) เป็นการประเมินพัฒนาการทางด๎านรํางการ อารมณ๑ จิตใจ สังคมและสติปัญญา ของเด็กถือเป็นกระบวนการตํอเนื่องและเป็นสํวนหนึ่งของกิจกรรมปกติที่จัดให๎เด็กในแตํละวัน ควรยึดหลักดังนี้

1. การประเมินพัฒนาการของเด็กครบถ๎วนทุกด๎านและน าผลมาพัฒนาเด็ก 2. ประเมินรายงานบุคคลอยํางสม่ าเสมอตํอเนื่องตลอดปี 3. สภาพการประเมินควรมีลักษณะเชํนเดียวกับการปฏิบัติกิจกรรมประจ าวัน 4. ประเมินอยํางเป็นระบบ มีการวางแผน เลือกใช๎เครื่องมือและจดบันทึก 5. ประเมินตามสภาพจริงด๎วยวิธีการที่หลากหลายกับเด็กรวมทั้งใช๎แหลํงข๎อมูลหลายๆ ด๎าน

เด็กท่ีมีพัฒนาการทุกด๎านตามวัยอยํางสมดุล จะเป็นเด็กท่ีมีความพร๎อมที่จะเรียนรู๎สิ่งรอบตัวอยํางราบรื่น มั่นคง และเป็นรากฐานที่ส าคัญตํอการเรียนรู๎ในขั้นสูงตํอไป(กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น,2547)การประเมิน และรายงานพัฒนาการเด็กโดยรวมในทุกๆด๎านยํอมสะท๎อนให๎เห็นถึง พฤติกรรมความสามารถของเด็กทุกๆสํวนที่ประกอบเป็นตัวเด็กได๎แกํ

1. การประเมินพัฒนาการทางด๎านรํางกาย 1.1 โครงสร๎างสัดสํวนและขนาดของรํางกาย 1.2 ความสามารถในการเคลื่อนไหวกล๎ามเนื้อใหญํ 1.3 ความสามารถในการเคลื่อนไหวกล๎ามเนื้อเล็กและการประสานสัมพันธ๑ระหวํางมือ

กับตา 1.4 ภาวะสุขภาพโดยรวม

2. การประเมินพัฒนาการด๎านอารมณ๑-จิตใจ 2.1 พฤติกรรมการแสดงออกทางอารมณ๑และความรู๎สึกตํางๆ 2.2 ความสามารถในการรับรู๎/ยอมรับความรู๎สึกท่ีดีตํอตนเอง 2.3 ความสามารถในการควบคุมอารมณ๑ 2.4 ความสามารถในการรับรู๎/ยอมรับความรู๎สึกของผู๎อ่ืน

3. การประเมินพัฒนาการด๎านสังคม 3.1 ความสามารถในการปรับตัวและสร๎างสัมพันธ๑กับผู๎อ่ืน 3.2 ความสามารถในการชํวยเหลือตนเอง

Page 26: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

33

3.3 ความสามารถในการท างานรํวมกับผู๎อ่ืน 4. การประเมินพัฒนาการด๎านสติปัญญา 4.1 ความสามารถในการรับรู๎และเรียนรู๎สิ่งรอบตัว 4.2 ความสามารถในการใช๎ภาษาและความจ า ตัวอยําง ตารางการประเมินพัฒนาการเด็ก (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น, 2547: 79)

รายการประเมิน ระดับพัฒนาการ

ปฏิบัติได๎ ปฏิบัติได๎บางครั้ง

ควรสํงเสริม หมายเหตุ

1. พัฒนาการด๎านรํางกาย 1.1 กระโดดขึ้นลงอยูํกับที่ได๎ 1.2 เดินขึ้นบันไดสลับเท๎าได๎ 1.3 ใช๎กรรไกรมือเดียวได๎

2. พัฒนาการด๎านอารมณ๑และจิตใจ 2.1 แสดงอารมณ๑

ตามความรู๎สึก 2.2 ชอบที่จะให๎

ผู๎ใหญํพอใจและได๎ค าชม

2.3 กลัวการพลัดพรากจากผู๎ใหญํ

3. ด๎านสังคม 3.1 รับประทาน

อาหารได๎ด๎วยตนเอง

3.2 เลํนสมติได๎ 3.3 รู๎จักการรอคอย

Page 27: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

34

4. ด๎านสติปัญญา 4.1 บอกชื่อของตนเองได๎ 4.2 รู๎จักใช๎ค าถาม อะไร 4.3 ขอความชํวยเหลือเมื่อมีปัญหา

สิ่งที่ควรค านึงถึงและยึดถือปฏิบัติเพื่อให๎เกิดประโยชน๑ในการสํงเสริมพัฒนาการเด็ก

(กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น, 2547: 80) คือ 1. ต๎องประเมินพัฒนาการให๎ครบทุกด๎านครอบคลุมทั้งด๎านรํางกาย อารมณ๑จิตใจ สังคม

และสติปัญญา 2. ประเมินรายพฤติกรรมของเด็กแตํละคน ต๎องกระท าอยํางสม่ าเสมอหลายๆครั้งกํอน

สรุปผล 3. ถือเป็นสํวนหนึ่งของกิจกรรมตามปกติตามตารางกิจกรรมประจ าวันในสภาพแวดล๎อมที่

ปกติ 4. เลือกวิธีการและเครื่องมือในการประเมิน ให๎เหมาะสมกับวัตถุประสงค๑ของเรื่องที่จะ

ประเมิน วิธีการที่งํายและนิยมปฏิบัติ คือ การสังเกต และบันทึกรายละเอียด พฤติกรรมเป็นรายบุคคลอยํางตํอเนื่อง

วิธีการประเมินพัฒนาการ ครูผู๎ดูแลเด็กหรือผู๎ที่เกี่ยวข๎องกับเด็ก สามารถประเมินพัฒนาการของเด็กได๎ตลอดเวลา นับตั้งแตํเริ่มรับเด็กตอนเช๎า จนกระทั่ง ผู๎ปกครองมารับกลับบ๎าน การเลือกวิธีการในการประเมินอาจใช๎วิธีการวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือ ผสมผสาน ขึ้นอยูํกับวัตถุประสงค๑ของเรื่องที่ประเมิน (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น, 2547 ) วิธีการประเมินพัฒนาการของเด็กเล็ก เชํน

1. การสังเกตและบันทึกพฤติกรรม เป็นวิธีที่นิยมใช๎กันอยํางกว๎างขวาง ใช๎การสังเกต และเฝูาคอยดูพฤติกรรมเด็กพร๎อมจดบันทึกพฤติกรรมตามธรรมชาติอยํางตรงไปตรงมา อาจมีการสร๎างสถานการณ๑ หรือกระตุ๎นพฤตกรรมบางอยํางตามวัตถุประสงค๑ของผูประเมิน

2. การสนทนาพูดคุย สัมภาษณ๑ เพื่อประเมินความสามารถในการใช๎ภาษาและแสดง ความคิดเห็นตามความรู๎สึกนึกคิดของเด็กอยํางอิสระ

3. การรวบรวมผลงาน โดยเก็บรวบรวมข๎อมูลงานทุกด๎านของเด็กไว๎ในแฟูม

Page 28: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

35

สะสมผลงานซึ่งแสดงถึงความก๎าวหน๎าของพฤติกรรมเด็กเป็นรายบุคคล 4. การท าแผนภาพสังคมมิติท าให๎ทราบความสัมพันธ๑ในกลุํมเพ่ือนของเด็กสะท๎อน

ความสัมพันธ๑ทางสังคม สามารถน าไปสูํการแก๎ไขปัญหาทางสังคมของเด็กได๎ 5. การประเมินการเจริญเติบโตและภาวะสุขภาพ วัดสํวนสูง ควรกระท าเป็นประจ า

อยํางตํอเนื่องอยํางน๎อยเดือนละครั้ง เกณฑ๑การประเมิน คือ การน าผลการประเมินมาสรุปและจัดระดับพัฒนาการ ดังนี้

ระดับปฏิบัติได๎ หมายถึง สามารถแดสงพฤติกรรมได๎คลํอง หรือเชื่อมั่น ระดับปฏิบัติได๎บางครั้ง หมายถึง สามารถแสดงพฤติกรรมได๎ แตํ บางครั้งไมํคลํอง หรือไมํมั่นคง ระดับควรสํงเสริม หมายถึง แสดงพฤติกรรมได๎ไมํชัดเจน

สรุปผลการประเมินและการายงานผล การประเมินพัฒนาการของเด็กเล็กเป็นกระบวนการการศึกษาข๎อมูลคุณลักษณะ หรือ ความสามารถในด๎านตํางๆของเด็กตามสภาพความเป็นจริงมีการสรุปผลโดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ๑ปกติของพัฒนาการเด็กตามวัย ในรูปแบบรายงานที่เป็นรูปธรรม ชัดเจน เข๎าใจงําย เพ่ือให๎สามารถใช๎ประโยชน๑จากการประเมินดังกลําว ได๎อยํางเต็มที่ส าหรับผู๎เกี่ยวข๎อง คือ

1. ตัวเด็ก การประเมินผล และการรายงานผล จะบอกถึงพัฒนาการ หรือศักยภาพ ของเด็กแตํละคน ซึ่งมีความตํางกัน

2. ผู๎ปกครอง ได๎ทราบพัฒนาการหรือพฤตกรรมของเด็กเพ่ือเป็นแนวทางในการ สํงเสริม สนับสนุน หรือปรับปรุงแก๎ไขให๎เมาะสมตํอไป

3. ครูผู๎ดูแลเด็ก/ผู๎บริหาร สามารถเก็บรวบรวมข๎อมูลที่เกี่ยวกับเด็กแตํละคนเพ่ือใช๎ ในการปรับปรุง และจัดท าหลักสูตรให๎เหมาะสม สอดคล๎องกับพัฒนาการและความต๎องการของเด็กโยค านึงถึงความแตกตํางระหวํางบุคคลของเด็กแตํละคนหรือหากพบความผิดปกติของพัฒนาการเด็กต๎องหาแนวทางแก๎ไข บ าบัด หรือฟ้ืนฟู โดยเร็วที่สุด การจัดสภาพแวดล๎อมและความปลอดภัยของเด็ก (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น,2547: 83) ตามความคิดของนักการศึกษา และหนํวยงานที่เกี่ยวข๎อได๎มีแนวคิดเกี่ยวกับการจัดสภาพแวดล๎อมที่มีสํวนเกี่ยวข๎องกับการใช๎แนวการจัดประสบการณ๑ชั้นเด็กเล็ก และพัฒนาการเด็กกํอนวัยเรียนจะกลําวถึงตํางๆคือ

7) การจัดสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน การจัดห๎องเรียนมีความส าคัญตํอเด็กปฐมวัย ทั้งนี้เพราะเป็นชํวงแรกของเด็กในการออกสูํสังคมนอกบ๎านเด็กต๎องเริ่มเรียนรู๎ที่จะอยูํกับคนที่มีอายุรุํนราวคราวเดียวกัน ต๎องเรียนรู๎ที่จะปรับตัวให๎เข๎ากับสภาพแวดล๎อมใหมํ และการที่จะชํวยให๎เด็กปรับตัวได๎อยํางเป็นสุขนั้น ไมํมีกิจกรรมใดดีไปกวํา

Page 29: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

36

การจัดให๎เด็กได๎เลํน เพราะการเลํนนอกจากจะชํวยให๎เด็กปรับตัวเข๎ากับเพ่ือนได๎แล๎วยังมีผลพลอยได๎ติดตามมาอีกหลายประการเชํน ท าให๎เด็กเกิดความรู๎สึกม่ันคงอบอํุนเป็นสุขเกิดความรู๎สึกวําตนเองเป็นสํวนหนึ่งของกลุํมมีโอกาสตอบสนองความอยากรู๎อยากเห็น ดังนั้นการจัดมุมเพ่ือให๎เด็กได๎มีโอกาสเลํนในห๎องเรียน (พัฒนา ชัชพงศ๑, 2530) ส าหรับการเลํนของเด็กปฐมวัย ได๎มีผู๎ศึกษา พบวํา เด็กจะเลํนด๎วยกันแบบมีจุดมุํงหมายรํวมกัน (Cooperative Play) เด็กจะเริ่มมีการแบํงบทบาทหน๎าที่วําใครจะเลํนอะไร ดังนั้นการจัดเลํนให๎เด็กมีบทบาทสมมติได๎ซึ่งไมํมีที่ไหนที่เด็กได๎มีประสบการณ๑ในชํวงอายุมากเทํากับครอบครัวของเด็กเอง ดังนั้นที่เลํนเลียนแบบของบ๎านก็จะถูกน ามาจัดไว๎ในห๎องเรียน ซึ่งในที่นี้จะเรียกวํามุมบ๎าน นอกจากนั้นยังต๎องค านึงถึงประโยชน๑ที่เด็กๆจะได๎รับในด๎านตํางอีก มุมเลํนอื่นก็จะมีเพ่ิมข้ึนในห๎องเรียนเชํนเดียวกัน แตํอยํางไรก็ตามในการจัดสภาพแวดล๎อมภายในก็จะเพ่ิมขึ้นในห๎องเรียนเชํนเดียวกัน แตํอยําไรก็ตามในการจัดสภาพแวดล๎อมภายในห๎องเรียนเด็กกํอนวัยเรียน จะต๎องค านึงถึงสิ่งตํอไปนี้ (ราศี ทองสวัสดิ์, 2529)

1. ขนาดของห๎องเรียน 2. เครื่องใช๎ประเภทโต๏ะ ,เก๎าอ้ี 3. การจัดที่เลํนส าหรับเด็ก โดยการจัดมุมบ๎าน มุมหมอ หรือมุมคลินิก มุมหนังสือตํางๆ มุม

ธรรมชาติ มุมศิลปะ มุมบล็อก มุมกระบะทราย แตํอยํางไรก็ตาม ศิลปะในการจัดห๎องเรียนของครูก็เป็นส าคัญบางประการหนึ่งเหมือนกันเพราะถึงแม๎ภายในห๎องเรียนมีองค๑ประกอบตํางๆครบถ๎วน แตํการจัดวาง และตกแตํงไมํเหมาะสม และสวยงามผลที่คาดหวังวําจะได๎รับอาจจะน๎อยลงไป บุญเยี่ยม จิตรดอน (2526: 11) ได๎กลําวถึงการจัดห๎องเรียนควรพิจารณาในสิ่งตํอไปนี้คือ

1. ความมีระเบียบในการจัด ในการจัดต๎องจัดให๎เป็นหมวดหมูํ โดยค านึงถึงการจัดวาง และสะดวกในการน ามาใช๎ประโยชน๑ด๎วย แตํประการส าคัญ คือ ต๎องค านึงถึงความสนใจของประเภทกิจกรรม และประสบการณ๑ที่จะจัดความสะดวกขอนักเรียนในการน าไปใช๎และเก็บรวบรวมทั้งการติดภาพ หรือแผนภูมิในห๎องเรียน

2. ความสะอาดในห๎องเรียนเมื่อเสร็จกิจกรรม ควรให๎นักเรียนมีสํวนรํวมกันรักษา ความสะอาดห๎องเรียน พร๎อมทั้งปลูกฝังจิตส านึกที่ดีในด๎านนี้ให๎เกิดข้ึนกับเด็กด๎วย

3. ความต๎องการของเด็ก ในการจัดกิจกรรมควรค านึงถึงความต๎องการของเด็กด๎วย เพราะเด็กวัยนี้ไมํชอบอยูํนิ่งต๎องการพ้ืนที่ และโอกาสที่จะเคลื่อนไหวเพ่ือพัฒนากล๎ามเนื้อใหญํและเล็ก ดังนั้นพ้ืนที่ห๎องควรจะกว๎าง วัสดุอุปกรณ๑ควรมีน้ าหนักเบา สะดวกตํอการเคลื่อนที่ โต๏ะเรียนม๎านั่งของเด็กสามารถยกและจัดเป็นรูปแบบตํางๆตามงานหรือกิจกรรมในบทเรียนได๎สะดวก

4. ความเหมาะสมของวัยเด็ก ซึ่งวัยนี้ต๎องการพักผํอน เพ่ือให๎รํางกายซึ่งก าลัง เจริญเติบโตอยํางรวดเร็วได๎พัฒนาอยํางเต็มที่ ดังนั้นจึงต๎องมีที่พักผํอนกลางวันยํางน๎อยวันละ 1-2 ชั่วโมง และห๎อเรียนควรมีความพร๎อมในการนั่งหรือนอนกลิ้งเกลือกของเด็กขณะรํวมกิจกรรมตํางๆ

Page 30: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

37

5. ความเหมาะสมกับประสบการณ๑ที่จะต๎องเสริมให๎กับเด็ก การจัดสภาพแวดล๎อม ภายในห๎องเรียน ควรจะให๎สัมพันธ๑และสอดคล๎องกับประสบการณ๑ที่ต๎องการสร๎างเสริมกับเด็กในชํวงระยะสั้น ได๎แกํ

5.1 ประสบการณ๑ด๎านคณิตศาสตร๑ควรเตรียมบล็อกสิ่งของที่เด็กจะใช๎อุปกรณ๑การนับ ที่หาได๎ในท๎องถิ่น รูปภาพ เกม กระบะทราย มุมขายของ ฯลฯ

5.2 ประสบการณ๑ด๎านวิทยาศาสตร๑ ควรเตรียมวัสดุที่เด็กควรรู๎จัก พร๎อมทั้งเขียน หนังสือตัวบรรจง บอกชื่อชนิด เชํน กระบะทราย กระบะเมล็ดถั่ว ชนิดของข๎าว ข๎าวสาร ข๎าวเปลือก ข๎าวจ๎าว ใบไม๎แห๎ง ดอกไม๎แห๎ง เมล็ดธัญพืชตํางๆ ฯลฯ

5.3 ประสบการณ๑ด๎านสังคม ควรมีการจัดมุมบ๎าน โรงหุํน ฉากเลํานิทาน และหุํนสวม มือ หุํนสวมหัว หุํนสวมนิ้วมือตํางๆ และหนังสือนิทานตํางๆเลํมใหญํภาพสวย

5.4 ประสบการณ๑ด๎านภาษา การจัดห๎องเรียนการสํงเสริมด๎านนี้ควรจะมีการจัด หนังสือนิทานภาพเลํมใหญํ เทปเพลง บัตรภาพตํางๆ บัตรค าคล๎องจอง และค ากลอน เกมตําง ฯลฯ

6. สิ่งจ าเป็นในห๎องเรียน สิ่งจ าเป็นภายในห๎องเรียนคือ พระพุทธรูป ธงชาติ พระบรมฉายา ลักษณ๑ของพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัว และพระบรมราชินีนาถ ปฏิทินประจ าวัน ประจ าเดือน รายปี รายชื่อรูปนักเรียนในชั้น รูปภาพสื่อการเรียนรู๎ตํางๆ สัตว๑ อวัยวะรํางกาย ดอกไม๎ ต๎นไม๎ รูปภาพตํางๆ และพ้ืนที่ส าหรับแขวนโชว๑แสดงผลงานหรือชิ้นงานของเด็ก

7. การจัดตกแตํง การจัดตกแตํงควรจัดแยกเป็นมุม แยกกันให๎ชัดเจนและเป็นสัดสํวน เชํ มุม ธรรมชาติ มุมสื่อของเลํน มุมวิทยาศาสตร๑ มุมบทบาทสมมุติ ฯลฯ

การจัดสภาพแวดล้อมทางสื่อการเรียนการสอน วัสดุอุปกรณ์

แนวคิดการใช๎สื่อเพ่ือจัดประสบการณ๑ส าหรับเด็กระดับกํอนประถมศึกษา เบญจา แสงมะลิ (2527) ได๎สรุปถึงข๎อควรค านึงในการใช๎สื่อ เพื่อจัดประสบการณ๑ ส าหรับเด็กกํอนประถมศึกษา ดังนี้คือ

1. สื่อนั้นหางําย อยูํรอบตัวเด็กเหมาะสมที่เด็กเรียนรู๎ เชํน สิ่งของเครื่องใช๎ในบ๎านและใน สถานศึกษา เครื่องเลํนตํางๆ และสิ่งตํางๆที่อยูํแวดล๎อมเด็ก

2. สื่อนั้นมีความปลอดภัยประหยัดทั้งราคาและประยัดเวลา เชํนตุ๏กตา ลูกบอล ไม๎บล็อก รถ ลากเล็กๆ ซึ่งมีขายอยูํทั่วไป

3. สื่อนั้นตรงกับเปูาหมายการใช๎สื่อ เพื่อจัดประสบการณ๑ความพร๎อมของแตํละด๎าน เชํน กลอง ใช๎จัดประสบการณ๑ทางหู ผ๎าสีตํางๆ ใช๎ส าหรับประสบการณ๑ทางตา

4. สื่อนั้นสะดวกในการน ามาและใช๎สอย เชํน หุํนจ าลอง เสื้อ รูปภาพ 5. สื่อและการใช๎สอดคล๎องกับวัยและความสามารถของเด็ก

Page 31: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

38

การจัดการชั้นเรียน การจัดการชั้นเรียน หมายถึง การจัดสภาพแวดล๎อมทั้งภายในและภายนอกห๎องเรียนเพื่อ

สนับสนุนให๎เด็กเกิดการเรียนรู๎อยํางมีความสุข การจัดสภาพแวดล๎อมจะต๎องค านึงถึงสิ่งตํอไปนี้ (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น, 2547: 85)

1. ความสะอาด ความปลอดภัย 2. ความมีอิสระอยํางมีขอบเขตในการเลํน 3. ความสะดวกในการท ากิจกรรม 4. ความพร๎อมของอาคารสถานที่ เชํน ห๎องเรียน ห๎องน้ าห๎องส๎วม สนามเด็กเลํน ฯลฯ 5. ความเพียงพอเหมาะสมในเรื่องขนาด น้ าหนัก จ านวน สีของสื่อและเครื่องเลํน 6. บรรยากาศในการเรียนรู๎ การจัดที่เลํนและมุมประสบการณ๑

ตัวอย่างการก าหนดแนวทางการจัดการชั้นเรียน จัดบรรยากาศท้ังภายในและภายนอกห๎องเรียนที่เอ้ือตํอการเรียนรู๎ของเด็กเพ่ือสํงเสริมให๎เด็กได๎เรียนรู๎ตามธรรมชาติ สอดคล๎องกับพัฒนาการของเด็กแตํละวัยเรียนรู๎ผํานการเลํนที่นําสนใจ สนุกสนาน โดยได๎ด าเนินการพัฒนาและปรับปรุง ดังนี้

1. ภายในห๎องเรียนเน๎นความสะอาดสวยงามปลอดภัยภายในจะมีมุมประสบการณ๑พร๎อมสื่อ 2. อุปกรณ๑ เพ่ือให๎เด็กได๎เรียนรู๎จากการใช๎สัมผัสทั้ง 5 มุมประสบการณ๑ เชํน มุมบ๎าน

มุมหนังสือ มุมดนตรี เป็นต๎น นอกจากนี้ ทางโรงเรียนได๎จัดท าห๎องน้ าห๎องส๎วมไว๎ภายในห๎องเรียนเพื่อความสะดวกปลอดภัยของเด็ก

3. ภายนอกห๎องเรียน จัดตกแตํงสภาพแวดล๎อมภายนอกห๎องเรียน ด๎วยพันธุ๑ไม๎ตํางๆ หน๎า อาคารเรียนจัดให๎มีสระน้ าหรือบํอเลี้ยงปลา และมีสวนหยํอมด๎านหน๎า เพ่ือความสวยงาม ความเพลิดเพลิน เอ้ือตํอการพัฒนาการของเด็ก หลักส าคัญในการจัดต๎องยึดหลักความสะอาด ปลอดโปรํง รํมรื่น ทั้งภายในและภายนอกห๎องเรียน และค านึงถึงความปลอดภัย เปูาหมายการเรียน ความเป็นระเบียบ สวยงาม ความเป็นตัวของเด็กเอง ให๎เด็กเกิดความรู๎สึกอบอํุน มั่นใจ และมีความสุขซึ่งอาจแบํงพ้ืนที่ให๎เหมาะสมกับการประกอบกิจกรรมตามแนวการจัดประสบการณ๑ดังนี้ (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น,2547: 86) พ้ืนที่จัดเตรียมเครื่องอ านวยความสะดวกตํางๆ ให๎เด็กและครู เชํน มุมแสดงผลงานของเด็ก มุมไว๎เครื่องใช๎กระเป๋า รองเท๎าเด็ก มุมจัดความรู๎ตามแผน (หนํวย) มุมแขวนผ๎าเช็ดมือ – แก๎วน้ า มุมปิดประกาศ มุมเกบ็อุปกรณ๑ มุมสุขสันต๑วันเกิด มุมเก็บแฟูมสะสมผลงานเด็ก

Page 32: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

39

4. พ้ืนที่ปฏิบัติกิจกรรมและการเคลื่อนไหวซึ่งจะเป็นที่วํางส าหรับเด็กอยูํรวมกลุํมกันได๎ เชํน กิจกรรมวงกลม กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ และอาจใช๎เป็นที่นอนขอเด็กในเวลากลางวันได๎ด๎วย

5. มุมตํางๆ ในกิจกรรมหลักและกิจกรรมเสรี เชํน มุมสร๎างสรรค๑ เกมการศึกษา มุมบทบาท สมมุติ

6. มุมบล็อก มุมหนังสือ มุมอําน มุมเขียน มุมฟังและเลํนเทปและมุมวิทยาศาสตร๑ เป็นต๎น การจัดมุมตํางๆเหลํานี้ครูสามารถจัดได๎ตามความเหมาะสมขึ้นอยูํกับสภาพห๎องเรียนเนื้อหาตามแผนการจัดประสบการณ๑หรือจัดตามความสนใจของเด็ก และอยํางน๎อยในแตํละวันควรมีมุมที่จัดให๎เด็กอยํางน๎อยที่สุด 4 มุม และมุมที่ควรมีประจ า คือ มุมบ๎าน มุมบล็อกและมุมหนังสือ การจัดมุมตํางๆ ควรจัดชิดกับแถบผนังในแตํละด๎านเพ่ือให๎เหลือเนื้อที่จัดกิจกรรมมากท่ีสุด โดยใช๎ชั้นหรือฉากกั้นในแตํละมุม มีอุปกรณ๑ประกอบให๎เด็กเลํนด๎วยกันเป็นกลุํมเด็กๆ ดังตัวอยํางการจัดมุมเลํน ดังนี้ มุมบล็อก เป็นมุมที่เด็กได๎เลํนกับวัสดุรูปทรงตํางๆ ซึ่งท าด๎วยไม๎ พลาสติก ผ๎า ฟองน้ า หรือกระดาษ โดยไมํมีใครต๎องสอน เด็กจะสร๎างทุกสิ่งรอบๆตัวเขาตามจินตนาการในโลกของเด็กเชื่อมโยงกับประสบการณ๑เดิม และความคิดสร๎างสรรค๑ ตั้งแตํขั้นพ้ืนฐานจนถึงข้ันคิดสร๎างสรรค๑สิ่งใหมํๆได๎ เด็กจะเริ่มการเลํนขั้นส ารวจตัวบล็อกเพียงอันเดียว ทดลองขว๎าง โยน ผลักดัน เหยียบ จนถึงขั้นสุดท๎าย อายุประมาณ 5 ขวบขึ้นไป การเลํนบล็อกจะเริ่มที่จะเป็นการสร๎างสิ่งใหมํๆ หรือแสดงถึงโครงสร๎างที่เป็นจริง ครูผู๎ดูแลเด็กควรจัดวางอุปกรณ๑เพ่ือชํวยเสริมความคิดสร๎างสรรค๑ระหวํางการเลํน เชํน กล่อง หลอดด๎าย ขวดพลาสติก อิฐ หิน หุํนจ าลอง ไม๎ไผํ เศษผ๎า ยางยืด เป็นต๎น ครูผู๎ดูแลเด็กควรมีข๎อตกลงกับเด็กทุกครั้งที่เลํนแล๎วเก็บเข๎าท่ี วัตถุประสงค๑ในการจัดมุมบล็อก มีดังนี้ ให๎เด็กได๎เลํนอยํางสนุกสนาน มีการวางแผนและแก๎ปัญหาด๎วยตนเองหรือโดยกลุํม

1. ให๎เด็กได๎ใช๎สรีระเคลื่อนไหวอยํางอิสระ 2. ให๎เด็กได๎พัฒนาการประสานสัมพันธ๑ของกล๎ามเนื้อใหญํ และกล๎ามเนื้อเล็ก โดยการท างาน

และสร๎างงานด๎วยบล็อก 3. ให๎เด็กได๎เลํนบทบาทสมมุติ สถานการณ๑ตํางๆ 4. ให๎เด็กได๎เรียนรู๎ที่จะแบํงปันความคิด และการท างานเปูนกลุํมในขณะที่ผลัดเปลี่ยนกันใช๎

บล็อก 5. เพ่ือพัฒนาการยอมรับอยํางจริงใจในงานของคนอ่ืน 6. เพ่ือพัฒนาการความคิดรวบยอดทางด๎านคณิตศาสตร๑การค านวณ เชํน ด๎านใหญํเล็ก

มากกวํา น๎อยกวํา เทํากัน รูปรําง ขนาด และจ านวน 7. พัฒนาความเข๎าใจเรื่องด๎านหรือเหลี่ยมตรงข๎ามที่เหมือนกัน 8. เพ่ือใช๎อุปกรณ๑สร๎างสรรค๑ตามความคิดของเด็กมองเห็น

Page 33: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

40

9. เพ่ือให๎เด็กค๎นหาการเคลื่อนที่และความสมดุลจากสิ่งที่เขาสร๎างขึ้นมา มุมบล็อก สามารถจัดท าได๎งํายและเป็นประโยชน๑กับเด็กหลายประการ และควรให๎โอกาสเด็ก

ในการแสดงผลงานตํอเพ่ือนๆมุมบ๎าน เป็นมุมที่เด็กเลํนเลียนแบบชีวิตจริง ซึ่งมีประสบการณ๑เคยได๎พบเห็นมา แตํอาจไมํเคยได๎ทดลอง ดังนี้ เด็กอาจจะมีความต๎องการซํอนเร๎นอยูํและหากจัดสถานการณ๑จ าลองความต๎องการของเด็ก ก็จะท าให๎มีความสุข ครูผู๎ดูแลเด็กอาจจัดบทบาทสมมุติไว๎ในบ๎านหรือจัดไว๎ใกล๎ๆกันเด็กจะแสดงบทบาทสมมุติตามที่เด็กเกิดจินตนาการ เด็กจะสร๎างความสัมพันธ๑ทางสังคมจะพัฒนาภาษาพูด แก๎ไขปัญหาที่เกิด และให๎ความรํวมมือในการเลํนกับเพ่ือน ดังนั้น ควรจัดเสื้อผ๎าเครื่องแตํงกายเลียนแบบผู๎ใหญํ หรือชุดละครที่มีหน๎ากากกลายรูปแบบ จัดกระจกเครื่องแตํงหน๎า เครื่องครัว โต๏ะอาหาร ฯลฯ

วัตถุประสงค์ ของการจัดมุมบ้าน คือ 1. เพ่ือแสดงเลียนแบบชีวิตตามที่ได๎พบเห็นมา 2. เพ่ือแสดงออกทางอารมณ๑และความรู๎สึกโดยที่รับการยอมรับจากผู๎ใหญํ 3. เพ่ือมีปฏิสัมพันธ๑หลายบทบาท 4. เพ่ือมีปฏิสัมพันธ๑กับเด็กและผู๎ใหญํในสถานการณ๑หลายๆไมํเป็นทางการ 5. เพ่ือพัฒนาภาษาพูดโดยแสดงออกทางสร๎างสรรค๑ 6. เพ่ือเลียนบทบาทจากนิทาน ภาพยนตร๑ หรือโทรทัศน๑ 7. เพ่ือให๎เด็กเกิดความกล๎าที่จะแสดออกในเชิงสร๎างสรรค๑ ในขณะที่ใสํหน๎ากาก 8. เพ่ือพัฒนาเทคนิคการแก๎ปัญหาด๎วยตนเอง 9. เพ่ือสร๎างความสัมพันธ๑ทางสังคมให๎ปรากฏชัดเจน 10. เพ่ือให๎เด็กเกิดความสนุกสนานในขณะที่เลํนกับเพ่ือน มุมหนังสือ เป็นมุมสงบควรจัดให๎อยูํหํางจากมุมบ๎าน หรือมุมบล็อก จัดที่นั่งหรือที่นอน

สบายๆเพ่ือให๎เด็กมีสมาชิกและใช๎ความคิด มีเสื่อ ผ๎าปูรองนั่ง หมอนอิง เพ่ือสร๎างบรรยากาศ มีชั้นจัดวางหนังสือให๎เป็นระเบียบ สามารถเลือกดูหนังสือได๎จัดงํายหนังสือไว๎หลายประเภท เชํนหนังสือนิทาน หนังสือภาพ หนังสือการ๑ตูน แมกกาซีน และแคตตาล็อค สวยงาม เพ่ือจูงใจให๎เด็ก อยากจับต๎องเปิดดู เป็นการปูพ้ืนฐานนิสัยรกการอํานให๎เด็ก ควรเลํานิทาน หรือเลําเรื่องให๎เด็กฟังแล๎วจัดวางหนังสือไว๎เพ่ือให๎เด็กหยิบจับไปอํานได๎ จัดท าโครงการหมุนเวียนหนังสือกันอําน โดยให๎เด็กน าหนังสือมาจากบ๎านหรือยืมจากท่ีโรงเรียน ไปอํานที่พัก ที่บ๎าน เพ่ือให๎คุณพํอ คุณแมํ มีสํวนรํวมในการอํานหนังสือให๎ลูกฟัง ซึ่งเด็กสามารถจะฟังหนังสือเรื่องเดียวกันหลายครั้งหากเด็กชอบนอกจากนั้นควรจัดให๎มีมุมฟัง โดยมีเครื่องเลํนเทป เทป วิทยุ และหูฟัง เป็นต๎น อาจจัดโต๏ะ รักการอําน แลเขียนไว๎ข๎างๆมุมหนังสือ โดยจัดเตรียมอุปกรณ๑ประกอบ เชํน ดินสอ ไม๎บรรทัด สี กรรไก สก็อตเทป ที่เย็บกระดาษกาว กระดาษ เพ่ือให๎เด็กหัดสร๎างหนังสือและเก็บไว๎อํานภายในห๎องเรียน ตํอไปภายหน๎าหากมีจ านวน

Page 34: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

41

หนังสือมากพออาจพัฒนาเป็นห๎องสมุดเล็กๆภายในห๎องเรียน เพ่ือให๎เด็กได๎เรียนรู๎การเลือกใช๎และยืมหนังสือจากห๎องสมุด ได๎เรียนรู๎หลักเกณฑ๑และมารยาทในการใช๎ห๎องสมุด วัตถุประสงค๑

1. ให๎เด็กรักการอําน – เขียน 2. รู๎จักใช๎วิธีและดูแลรักษาหนังสือ 3. มีมารยาทและสมาธิในการอํานหนังสือ 4. มีความรับผิดชอบและรักษาการใช๎หนังสือ 5. เรียนรู๎ความหลากหลายของภาษา เชํน ค ากลอน ค าโฆษณา ขําวสารตํางๆ เป็นต๎น ส าหรับมุมอ่ืนๆ อาจจัดได๎ตามความต๎องการเรียนรู๎ของเด็กหรือจัดให๎สอดคล๎องกับ

แผนการสอนโดยค านึงพัฒนาการตามวัยของเด็ก ศักยภาพที่แตกตํางกันและหลักการเรียนรู๎โดยยึดหลักการ การเรียนการเลํนให๎เกิดประสบการณ๑ ให๎เด็กคิดค๎นคว๎าทดลองหาความจริงในลักษณะกลุํมหรือรายบุคคล เด็ก และควรมีกิจกรรมรํวมกัน มีการยอมรับในศักดิ์ศรีและความคิดเห็นของเด็กและภายใต๎กฎเกณฑ๑ท่ีรํวมกันสร๎างขึ้น แนวทางปฏิบัติเพ่ือปรับพฤติกรรมของเด็กให๎มีวินัยในห๎องเรียน

1. ท าข๎อตกลงในการปฏิบัติตนภายในห๎องเรียน เพ่ือเด็กจะได๎ทราบความคาดหวังของ พฤติกรรมเด็ก โดยข๎อตกลงเป็นการพิจารณารวมกันระหวํางครูผู๎ดูแลเด็ก เมื่อมีการท าผิดข๎อตกลง ก็มีการทบทวนด๎วยวิธีการใหมํ เพ่ือจะได๎ไมํเป็นการบํน พูดซ้ าซากพร่ าเพรื่อ ท าให๎เกิดความเบื่อหนําย และมีอารมณ๑อยากตํอต๎าน

2. เมื่อมีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาเกิดข้ึน ศึกษาเหตุให๎ชัดเจน แล๎วชํวยกันคิดหา แนวทางในการแก๎ไขปัญหามีวิถีทางในการแก๎ไขปัญหาหลากหลาย โดยมุํงไปที่จุดหมายเดียวกัน คือแก๎ปัญหานั้นได๎เพ่ือเป็นแนวทางในการให๎เด็กคิดแก๎ปัญหาได๎ด๎วยตนเองตํอไป พฤติกรรมที่เป็นปัญหาเกิดข้ึนได๎ตลอดเวลา ถ๎ากิจกรรมในห๎องเรียนท าสิ่งที่ซ้ าๆ ไมํนําสนใจ ต่ ากวําความสามารถของเด็กหรือสูงกวําความสามรถของเด็กท่ีจะท าได๎ส าเร็จ เด็กก็จะหาแนวทางออกไปท าอยํางอ่ืน ที่กํอให๎เกิดปัญหาพฤติกรรมตามมา ดังนั้น ต๎องศึกษาหาสาเหตุของพฤติกรรมให๎พบกํอนจึงจะแก๎ปัญหาได๎ตรงจุด

3. ครูผู๎ดูแลเด็กต๎องเป็นแบบอยํางให๎กับเด็ก มีข๎อตกลงในการปฏิบัติอยํางไร ครูผู๎ดูแลเด็ก ควรจะเป็นแบบอยํางในเรื่องเหลํานั้นส าหรับเด็กได๎

4. ครูผู๎ดูแลเด็กต๎องมีความสม่ าเสมอในการปฏิบัติตํอเด็กทุกคนโดยเทําเทียมกันมีความ ยุติธรรมในการตัดสินปัญหาตํางๆ ด๎วยเหตุผลหลักการ

5. ให๎เด็กรู๎แผนงานในแตํละวัน แตํละสัปดาห์ เพ่ือเด็กจะได๎มีความรู๎สึกม่ันคง และรู๎ได๎วําเขา ต๎องท ากิจกรรมได๎ดี

6. เมื่อมีพฤติกรรมตํางๆเกิดขึ้นที่เรียกร๎องความสนใจจากครูผู๎ดูแลเด็กตลอดเวลาครูผู๎ดูแล เด็กอาจจะต๎อใช๎วีการเมินเฉยไมํสนใจ ถ๎าครูผู๎ดูแลเด็กทราบวําพฤติกรรมนั้นไมํได๎มีอันตรายใดๆ

Page 35: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

42

เด็กท าเพ่ืออยากให๎ครูผู๎ดูแลเด็กเห็นวําจะเป็นอันตรายตํอเด็ก ตํอบุคคลอื่นก็ต๎องเข๎าไปจัดการทันที หยุดพฤติกรรมนั้น เมื่อเด็กสงบแล๎วจึงพูดด๎วยการสอบถามสาเหตุและชํวยกันคิดหาแนวทางในการแก๎ไขปัญหานั้นๆ

7. สิ่งแวดล๎อมท่ีดี สภาพแวดล๎อมภายในห๎องที่อบอํุน เต็มไปด๎วยความรัก ความเข๎าใจ ความ ชํวยเหลือเกื้อกูลกัน จะชํวยให๎เด็กมีจิตใจสงบ ท ากิจกรรมตํางๆ ผํานไปได๎ด๎วยดี

8. มีมุมสงบให๎เด็กได๎มีเวลาไปนั่งสงบจิตสงบใจ เมื่อเกิดอารมณ๑เสียไมํพอใจ หรือเป็นต๎นเหตุ ท าให๎เกิดอารมณ๑เสียไมํพอใจ หรือเป็นต๎นเหตุในการท าให๎เกิดความสับสนวุํนวายในห๎อง โดยมุมนี้ไมํใชํมุมท าโทษ แตํเป็นมุมที่เด็กจะเข๎าไปนั่งท าใจให๎สงบ โดยไมํให๎ใครเข๎าไปรบกวนสมาธิ อาจจะท าเป็นบ๎านหลังเล็กๆ ในห๎องเรียน เด็กโมโหไมํพอใจ จะเข๎าไปนั่งเป็นที่รู๎จักกันในห๎องวําเพื่อนคนอ่ืนจะไมํเข๎าไปรบกวนพอเด็กรู๎สึกวําสบายใจเด็กก็จะเดินออกมาเองและเข๎ารํวมกิจกรรมของห๎องเรียนตํอไป การจัดสภาพแวดล๎อมและความปลอดภัยของเด็กที่เอ้ือตํอการมีสุขภาพดี และครูผู๎ดูแลเด็กควรดูแลสิ่งแวดล๎อมด๎านตํางๆ ในศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กคือ (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น, 2547: 29)

1. การจัดสภาพแวดล๎อมภายนอกอาคาร สภาพแวดล๎อมที่ดีมีผลตํอสุขภาพและความปลอดภัยของเด็กจงควรมีการดูแลในเรื่องตํางๆ ดังนี้

1.1 ดูแลสภาพแวดล๎อมรอบอาคารและบริเวณให๎สะอาด และรํมรื่นปลูกต๎นไม๎ให๎รํมเงาและ ชํวยกรองฝุุนละออง ดูแลสวนหยํอมให๎สวยงามเสมอ นอกจากนี้บริเวณท่ีเป็นพ้ืนดินควรปลูกหญ๎าคลุมดิน เพ่ือปูองกันฝุุนฟุูงกระจายในชํวงฤดูแล๎ง

1.2 ทํอระบายน้ าและรางน้ า หรือแหลํงน้ า เชํน บํอน้ าในบริเวณศูนย๑ฯ ควรมีฝาปิด หรือมีรั้ว กั้นมิให๎เด็กพลัดตกได๎

1.3 บริเวณท่ีพักขยะ หรือท่ีทิ้งขยะภายนอกอาคาร ควรจัดเก็บเป็นสัดสํวนภาชนะรองรับขยะ มีฝาปิดมิดชิด พ๎นจากแมลง และสัตว๑พาหะน าโรคตํางๆ

2. การจัดสภาพแวดล๎อมภายในอาคาร เด็กๆสํวนใหญํใช๎เวลาอยูํในอาคาร ครูผู๎ดูแลเด็กจึงควรดูแลสิ่งแวดล๎อมในอาคาร

ให๎สะอาดปลอดภัยเสมอดังนี้ 2.1 หมั่นตรวจสอบสภาพอาคาร ประตูหน๎าตําง อุปกรณ๑ โต๏ะ เก๎าอ้ี ให๎อยูํในสภาพที่ดีหากมี

สํวนช ารุด ควรรีบแจ๎งให๎ผู๎รับผิดชอบซํอมแซมโดยเร็ว เพราะเป็นอันตรายกับเด็ก 2.2 การจัดวางสิ่งของ ของเลํนเด็ก และเครื่องใช๎สอยตํางๆให๎เป็นระเบียบและเช็ดความ

สะอาดสม่ าเสมอ โดยใช๎ผ๎าเปียก ไมํแนะน าให๎ใช๎ไม๎ขนไกํปัดฝุุนเนื่องจากท าให๎ฝุุนฟุูงกระจาย 2.3 ไมํวางสิ่งของกีดขวางทางเดิน หรือประตูเข๎าออกเพ่ือความสะดวกในการเคลื่อนย๎ายเด็ก

ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เชํนไฟไหม๎ แก๏สรั่ว เป็นต๎น

Page 36: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

43

2.4 จัดพื้นที่ใช๎สอยให๎เป็นสัดสํวนตามการใช๎งาน เชํนห๎องรับประทานอาหาร ห๎องที่ท า กิจกรรม และห๎องนอน หากใช๎บริเวณเดียวกันควรท าความสะอาดทุกครั้งเมื่อเสร็จสิ้นแตํละกิจกรรม

2.5 ท าความสะอาดเพดาน ฝาผนัง ส าหรับพ้ืนห๎องควรเช็ดทุกวัน และดูแลไม๎ให๎พ้ืนเปียก หน๎าตําง ให๎มีแสงสวํางธรรมชาติเข๎าถึง และอากาศถํายเทได๎ดี เพ่ือลดการเจริญเติบโตของเชื้อโรคในอากาศ และลดการใช๎ไฟฟูา

3. การดูแลวัสดุ อุปกรณ๑ตํางๆ และของเด็กเลํน การจัดวางวัสดุอุปกรณ๑ตํางๆ ไว๎อยํางเป็นระบบจะชํวยเสริมในเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยให๎กับเด็ก ดังนั้นครูผู๎ดูแลเด็กควรด าเนินการดูแลวัสดุอุปกรณ๑ตํางๆ ดังนี้

3.1 จัดให๎มีแก๎วน้ าดื่ม ประจ าตัวเด็กแตํละคน และล๎างท าความสะอาดทุกครั้ง 3.2 จัดให๎มีที่เก็บแปรงสีฟันที่ถูสุขลักษณะ คือ เก็บของเด็กแตํละคนแยกกันและอยูํในที่

อากาศถํายเทดีได๎ดี อากาศปลอดโปลํง 3.3 ท าความสะอาดที่นอน หมอน ผ๎าหํมสํวนตัวของเด็ก อยํางน๎อยสัปดาห๑ละ 1 ครั้ง โดยครู

ผู๎ดูแลเด็ก หรือ ให๎ผู๎ปกครองน าของเด็กกลับไปซักท าความสะอาดที่บ๎านทุกเย็นของวันศุกร๑ 3.4 เลือกของเลํนเด็กท่ีปลอดภัย ได๎แกํ พ้ืนเรียบท าความสะอาดงําย เคลือบสีที่ปลอดภัย

หลีกเลี่ยงของเลํนที่เปราะบาง แตกงําย ไมํมีแหลมคม หรือมีชิ้นสํวนเล็กๆที่จะหลุดงําย 3.5 ท าความสะอาดของเลํนตํางๆ อยํางน๎อยสัปดาห๑ละ 1 ครั้ง 3.6 ควรจัดให๎มีของเลํนเด็กจากวัสดุธรรมชาติและภูมิปัญญาท๎องถิ่น เชํน เครื่องเลํนประเภท

ไม๎ เครื่องจักรสานจากไม๎ไผํ เครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ 3.7 ควรหลีกเลี่ยงการใช๎ภาชนะพลาสติกที่ไมํได๎มาตรฐาน เพราะจะท าให๎เกิดการสะสม

สารพิษเป็นอันตรายตํอรํางกายได๎ 4. การดูแลห๎องน้ า พื้น ผนัง ห๎องน้ าทุกวัน และหมั่นเช็ดพ้ืนห๎องน้ าให๎แห๎งอยูํเสมอ 4.1 จัดให๎มีสงสวํางและการะบายอากาศเพียงพอจะชํวยลดกลิ่นความอับชื้น และการ

เจริญเติบโตของเชื้อโรค เชื้อรา ได๎ดี 4.2 กรณีใช๎สุขภัณฑ๑เป็นขนาดใหญํ ควรจัดหาอุปกรณ๑ชํวยเสริมการใช๎งานให๎เด็กใช๎ได๎อยําง

ปลอดภัย เชํน มีราคาเหมาะสมกับมือเด็ก มีเก๎าอ้ีหรือโต๏ะเตี้ยให๎เด็กก๎าวขึ้นไปนั่ง โถส๎วมหรือใช๎อําง ล๎างมือได๎อยํางสะดวก

4.3 จัดให๎มีน้ าใช๎อยํางเพียงพอ มีสายฉีดน้ าหรือขันน้ า ส าหรับใช๎ท าความสะอาดหลังการ ขับถํายด๎วย

4.4 ภายในห๎องส๎วม หรือด๎านหน๎าห๎องส๎วม ควรมีอําล๎างมือพร๎อมสบูํ ผ๎าเช็ดมือเพ่ือเป็นการ ฝึกให๎เด็กได๎หัดท าความสะอาดตนเองหลังการขับถํายทุกครั้ง

4.5 เก็บน้ ายาท าความสะอาดห๎องน้ า ห๎องส๎วม ให๎มิดชิด พ๎นจากมือเด็ก

Page 37: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

44

4.6 อุปกรณ๑และแปรงขัดห๎องน้ า ควรเก็บในที่อากาศถํายเทสะดวกและน าผึ่งแดดเป็นครั้ง คราว เพ่ือลดการสะสมเชื้อโรค

4.7 ฝึกให๎เด็กมีพฤติกรรมการใช๎ห๎องน้ า ห๎องส๎วม ที่ถูกวิธี ได๎แกํราดน้ าหรือกดชักโครกทุกครั้ง หลังการใช๎ส๎วม ทิ้งกระดาษหรือเศษขยะลงไปในถังขยะที่จัดไว๎ให๎และไมํทิ้งสิ่งอื่นลงในโถส๎วม

5. การจัดการขยะและน้ าเสีย (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น,2547: 33) ขยะและน้ า เสียมีผลกระทบตํอสุขภาพ ดังนั้น จึงควรจัดวางระบบในการดูแล สิ่งที่ควรปฏิบัติ มีดังนี้

5.1 จัดให๎มีที่รองรับขยะ ที่มีสภาพดี มีฝาปิดมิดชิด วางตามจุดตํางๆในศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก อยําง

5.2 เพียงพอ เชํน ภายในห๎อง บริเวณสนามเด็กเลํน ห๎องครัว และห๎องส๎วม เป็นต๎น 5.3 แยกภาชนะเก็บขยะอยํางน๎อย 4 ประเภทคือ 1) ขยะแห๎งทั่วไป 2) ขยะที่สามารถน า

กลับไปใช๎ได๎ใหมํ 3) ขยะเปียกท่ีเป็นเศษอาหารหรือขยะจากห๎องครัว 4) ขยะอันตราย เชํน หลอดไฟ ขวดน้ ายาท าความสะอาดห๎องน้ า ห๎องส๎วม น้ ายาถูพ้ืน เป็นต๎น

5.4 รวบรวมขยะออกจากตัวอาคารทุกวัน เพ่ือไมํให๎มีขยะตกค๎างภายในอาคารและน าไปรวม ไว๎ในที่พักขยะนอกอาคาร ขยะที่รอการน าไปก าจัดต๎องเก็บอยํางมิดชิด พ๎นจากการค๎ุยเขี่ยของสัตว๑ และยานพาหะน าโรค

5.5 ดูแลรางน้ าจากห๎องน้ า ห๎องส๎วม ห๎องครัว ให๎ระบายได๎ดีไมํมีขยะตกค๎างอุดตันหรือมีน้ าขัง นิ่ง และควรมีฝาปิดทํอระบายน้ าให๎ปลอดภัยจากการพลัดตกของเด็ก

5.6 น้ าทิ้งจากห๎องครัว หรือห๎องอาหาร ซึ่งมีคราบไขมันควรปลํอยผํานบํอดักไขมันกํอนทิ้งลง ทํอระบายหรือแหลํงน้ าสาธารณะ

6. การควบคุมและปูองกันแมลงและพาหะน าโรค เด็กๆอาจเจ็บปุวยจากเชื้อโรคที่มากับ แมลงและสัตว๑น าโรคตํางๆได๎เชํน แมลงวัน แมลงสาบ ท าให๎เกิดอุจจาระรํวง หรือยุง ท าให๎เกิดโรคไข๎เลือดออก ไข๎สมองอักเสบ เป็นต๎น การควบคุมและปูองกันควรท าดังนี้

6.1 ก าจัดแหลํงที่มีน้ าขังเพ่ือปูองกันการแพรํพันธุ๑ยุงโดยท าลายภาชนะท่ีมีน้ าขังหรือแหลํงน้ า นิ่งอยํางน๎อยสัปดาห๑ละ 1 ครั้ง

6.2 ดูแลสภาพแวดล๎อมในศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กให๎สะอาดอยูํเสมอ ปูองกันแมลงวัน แมลงสาบ โดยจัดเก็บขยะอยํางถูกวิธี

6.3 ล๎างท าความสะอาดถังขยะแบะบริเวณท่ีพักขยะเพ่ือลดการหมักหมมของสิ่งสกปรกตํางๆ 6.4 ให๎เด็กได๎นอนในห๎องที่ติดมุ๎งลวด หรือถ๎าไมํมีควรจัดให๎ห๎องนอนมีแสงสวํางและการ

ระบายอากาศดี การปูองกันอุบัติเหตุ และอุบัติภัย (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น,2547: 34) อุบัติเหตุ

Page 38: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

45

ที่อาจเกิดข้ึนได๎จากสิ่งแวดล๎อมในศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก มีได๎หลายประการตั้งแตํอุบัติเหตุจากสนามเด็กเลํน สารเคมี และไฟฟูา

1. สนามเด็กเลํน เป็นสิ่งหนึ่งที่มีประโยชน๑ตํอการพัฒนากล๎ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญํ การ ประสานงาน การตัดสินใจ และพัฒนาการ แตํขณะเดียวกันก็กํอให๎เกิดอันตรายได๎งํายถ๎าไมํได๎มาตรฐาน และขาดการดูแล

2. พ้ืนสนามเด็กเลํน ควรท าด๎วยวัสดุที่ปลอดภัย เชํน ทราย ไม๎ วัตถุท่ีลดการกระแทก 3. จัดหาเครื่องเลํนสนามที่ได๎รับการออกแบบที่ดี และติดตั้งอยํางถูกวิธี 4. บ ารุงรักษาท าความสะอาด และตรวจสอบอุปกรณ๑เครื่องเลํนทุกวันให๎สะอาดและอยูํใน

สภาพดีเสมอ 5. ควรมีผู๎ดูแลเด็ก ขณะเลํนสนามเด็กเลํนในสัดสํวนตํอเด็กท่ีเหมาะสม คือ 1: 20 6. อุปกรณ๑เครื่องใช๎ไฟฟูา สายไฟ ปลั๊กไฟ หมั่นตรวจสอบให๎อยูํในสภาพดี เก็บสายให๎

เรียบร๎อย 7. ปลั๊กไฟที่อยูํต่ ากวํา 1.5 เมตร ควรหาฝาครอบปลั๊กไฟเพ่ือปูองกันเด็ก 8. จัดให๎มีตู๎ยาสามัญประจ าบ๎านที่มียาและเวชภัณฑ๑ตามจ าเป็นและติดตั้งให๎พ๎นมือเด็ก

ตรวจสอบวันหมดอายุของยา สม่ าเสมอ 9. เก็บสารเคมีอันตรายไว๎ในที่มิดชิด พ๎นมือเด็ก และบรรจุอยูํในภาชนะท่ีมีฉลากชัดเจน

ภาชนะใสํสารเคมีท่ีใช๎หมดแล๎ว ควรเก็บทิ้งอยํางถูกวิธี 10. จัดเตรียมเครื่องดับเพลิงที่มีมาตรฐานไว๎ประจ าศูนย๑เด็กเล็ก ติดตั้งไว๎ในที่หยิบใช๎สะดวก

อยูํในสภาพพร๎อมใช๎งาน และมีผู๎มีความสามารถใช๎ได๎ถูกต๎องหรือถ๎าไมํมีเครื่องดับเพลิงควรมีภาชนะเก็บน้ า รวมทั้งสายยางที่พร๎อมใช๎เมื่อเกิดเพลิงไหม๎ การจัดสิ่งแวดล๎อมในศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กให๎สะอาดและปลอดภัย สํวนใหญํสามารถท าโดยผู๎ดูแลเด็ก อยํางไรก็ตาม บางเรื่องที่ครูผู๎ดูแลเด็กไมํสามารถด าเนินการได๎เองควรประสานความรํวมมือกับผู๎บริหาร และผู๎ปกครองเด็ก เพ่ือด าเนินการให๎เกิดความปลอดภัยกับเด็กทุกคน รวมถึงครูผู๎ดูแลเด็กเองด๎วย การดูแลเด็กให๎ได๎รับสารอาหารและน้ าสะอาด ปลอดภัย (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น, 2547: 35) เด็กเป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตสูงสุดจึงต๎องการอาหารที่มีคุณคําครบถ๎วน สะอาดและปลอดภัย ซึ่งมีเหตุผลที่ส าคัญ คือ

1. อาหารให๎พลังงานและสารอาหารแกํเด็ก ส าหรับท ากิจกรรมและการเจริญเติบโต 2. อาหารชํวยดูแลสุขภาพของเด็ก โภชนาการที่ดีชํวยให๎เด็กไมํเป็นหวัดและโรคอุจจาระรํวง 3. การรับประทานอาหารเด็กควรให๎เด็กรู๎จักสัมพันธ๑ใกล๎ชิดกับบุคคลอื่น

Page 39: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

46

4. การรับประทานอาหารท าให๎เด็กได๎เรียนรู๎โลก โดยการใช๎ประสามสัมผัสทั้ง 5 5. เด็กจะมีพัฒนาการ ทักษะเมื่อเด็กรับประทานอาหารได๎ด๎วยตนเอง 6. เด็กจะมีพัฒนาการด๎านภาษาและทักษะทางสังคมที่ดี เมื่อรับประทานอาหารรํวมกับผู๎อ่ืน อาหารที่ปลอดภัย และเหมาะสมที่จะจัดให๎เด็กต๎องไมํเป็นอาหารที่ส าลักงํายต๎องไมํลื่นและ

ขนาดเล็ก เชํน ไส๎กรอกแผํนบางกลมๆ องุํน เมล็ดถั่ว เป็นต๎น นอกจากนี้ลักษณะของอาหารพบวําปัจจุบันอาหารมีสารปนเปื้อนมากมายที่ควรระวังตลอดจนกระบวนการผลิต จนถึงการบริโภค อาหารที่มีสารปนเปื้อนและสะอาดสามารถท าให๎เกิดอันตรายกับเด็กได๎มาก เชํน

1. โรคที่มีอาหารและน้ าเป็นสื่อ เชํน อุจจาระรํวง บิด ไทฟอยด๑ ซึ่งจะท าให๎เกิดอาการปวด ท๎องอยํางรุนแรง มีไข๎ อาเจียน ฯลฯ

2. โรคพยาธิตํางๆที่ปนเปื้อนมากับเนื้อสัตว๑ และผักท่ีไมํสะอาดและปรุงมาสุก 3. โรคจากอาหารเป็นพิษ เชํน อาหารกระป๋องที่หมดอายุหรือช ารุดจะท าให๎มีอาการ

ปวดท๎อง ท๎องรํวง ฯลฯ 4. พิษจากพืชและสัตว๑จากธรรมชาติ เชํน พิษจากเห็ด กลอย ฯลฯ 5. พิษจากสารเคมีเชํน สารตะกั่ว สารก าจัดแมลง สีผสมอาหาร สารปรุงแตํงอาหาร ฯลฯ

ดังนั้นเพื่อเป็นการคุ๎มครองสุขภาพเด็กในศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กจึงควรจัดอาหารที่สะอาดปลอดภัยให๎เด็กโดยพิจารณาทุกข้ันตอนในกระบวนการผลิตอาหารและเน๎นพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ถูกต๎อง ได๎แกํ การใช๎ช๎อนกลางและการล๎างมือให๎สะอาดํอนรับประทานอาหารทุกครั้ง การดูแลให๎เด็กได๎รับอาหารและน้ าที่สะอาด ปลอดภัย สามารถท าได๎ดังนี้

1. การจัดให๎มีน้ าดื่มสะอาด ในแตํละวันเด็กจะต๎องได๎รับน้ าดื่มท่ีสะอาด ปลอดภัย อยํางเพียงพอ ซึ่งครูผู๎ดูแลเด็กสามารถจัดหาน้ าดื่มและดูแลความสะอาดในการดื่มน้ าให๎กับเด็กดังนี้ 1.1 น้ าดื่มส าหรับเด็ก ควรเป็นน้ าที่ผํานการปรับปรุงคุณภาพแล๎ว เชํน น้ าประปาที่ต๎มสุก หรือผํานเครื่องกรองที่มีการดูแลรักษาสม่ าเสมอ หรือน้ าบรรจุขวดที่มีเครื่องหมาย อย. 1.2 ภาชนะท่ีเก็บน้ าดื่ม ต๎องมีฝาปิดมิดชิด มีที่รินน้ าออกทางเดียว ไมํใช๎ภาชนะเชํน แก๎วหรือขันน้ าตักโดยตรงเนื่องจากอาจท าให๎มีการปนเปื้อนได๎งําย มีการท าความสะอาดภาชนะใสํน้ าดื่มเสมอ 1.3 จัดให๎เด็กแตํละคนมีแก๎วน้ าดื่มประจ าตัว และมีการท าความสะอาดทุกครั้งหลังการใช๎งาน

2. การจัดสถานที่เตรียมปรุงอาหารให๎สะอาด ปลอดภัย นอกจากอาหารที่มีประโยชน๑ทาโภชนาการที่เด็กจะต๎องได๎รับอยํางครบถ๎วนในแตํละวันครู

ผู๎ดูแลเด็กจะต๎องให๎ความส าคัญในการจัดสถานที่ ส าหรับการเตรียม การปรุงอาหาร ดังนี้

Page 40: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

47

2.1 สถานที่เตรียมปรุงอาหาร ควรแยกเป็นสัดสํวน พ้ืนห๎อง และฝาผนังท าด๎วยวัสดุสีอํอนและท าความสะอาดงําย 2.2 จัดให๎มีแสงสวําง และการระบายอากาศดี ลดปัญหากลิ่น ควัน และความร๎อนไมํให๎รบกวนบริเวณใกล๎เคียง 2.3 โต๏ะเตรียม ปรุงอาหาร สภาพดี สะอาด และสูงจากพ้ืนอยํางน๎อย 60 เซนติเมตร เพื่อปูองกันสิ่งสกปรกกระเด็นปนเปื้อนสารอาหาร 2.4 กรณีท่ีศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กมีห๎องครัวอยูํภายในบริเวณศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กต๎องปูองกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเด็กเข๎าไปเลํนในห๎องครัวเชํน มีอุปกรณ๑ปิดหัวแก็ส ปลอดภัย เก็บมีดและของมีคมให๎มิชิดพ๎นมือเด็ก 2.5 กรณีท่ีซื้ออาหารพร๎อมบริโภค หรือจ๎างท าความสะอาดจากภายนอกศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กควรเลือกร๎านที่สะอาด และเน๎นให๎มีกี่ปกปิดอาหารที่พร๎อมบริโภคขณะขนสํง

3. การเลือก การปรุง การเก็บอาหารให๎สะอาดและปลอดภัย อาหารที่สะอาดและปลอดภัยจะชํวยให๎เด็กสามารถได๎รับประโยชน๑จากการรับประทานอาหารแตํละชนิดได๎อยํางเต็มที่ซึ่งครูผู๎ดูแลเด็กจะต๎องมีวิธีการในการเลือกปรุง และเก็บอาหารดังนี้ 3.1 การเลือกและเตรียมอาหารสด 3.1.1 เลือกอาหารที่ใหมํ สะ สะอาด มีสรตามธรรมชาติ เชํนเนื้อสัตว๑สีชมพู ผักสดใบมีรูพรุนเล็กน๎อย อาหารแห๎งต๎องไมํอับชื้น หรือมีกลิ่นเหม็น 3.1.2 หลีกเลี่ยงอาหารที่เจือปนสังเคราะห๑หรือสีสดมากๆ 3.1.3 อาหารกระป๋อง และเครื่องปรุงรสควรอยูํในสภาพดีมีเครื่องหมาย อย. มีฉลากระบุ วันผลิต วันหมดอายุ 3.1.4 การล๎างผัก ผลไม๎ ส าหรับผักควรลอกออกเป็นชิ้นๆแล๎วล๎างให๎สะอาดด๎วยน้ าไหลผําน และล๎างทีละใบ เพื่อล๎างสิ่งสกปรกและสารเคมีตกค๎าง ผักและผลไม๎ควรล๎างกํอนปลอกเปลือก 3.2 การปรุงอาหาร 3.2.1 ปรุงอาหารโดยไมํใช๎ผงชูรส หรือเครื่องปรุงรสและสารปรุงแตํงสี 3.2.2 ปรุงอาหารให๎สุกอยํางทั่วถึง โดยเฉพาะเนื้อสัตว๑ เพื่อท าลายเชื้อโรคตํางๆ 3.2.3 ขณะปรุงอาหารควรงดการพูดคุย ทางที่ดีควรใช๎ผ๎าสะอาดปิดปากปูองกันไอจามลงอาหารขณะปรุง 3.2.4 การชิมอาหารควรใช๎ช๎อนส าหรับชิม ไมํใช๎ช๎อนเดียวกับที่ท าอาหาร

Page 41: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

48

3.3 การเก็บอาหาร 3.3.1 เก็บอาหารในอุณหภูมิที่เหมาะสม เก็บในภาชนะท่ีสะอาดเหมาะสมตามประเภทของอาหาร เชํน อาหารที่มีสํวนประกอบของน้ าส๎มสายชูควรใสํภาชนะท่ีทนกรดได๎ดี เชํน แก๎ว กระเบื้อง สแตนเลส เป็นต๎น 3.3.2 ปกปิดอาหารที่ปรุงสุก หรือพร๎อมบริโภคด๎วยฝาชีหรือภาชนะท่ีไมํแนะน าให๎ใช๎ผ๎าเพราะสามารถสัมผัสอาหารได๎งําย 3.3.3 น้ าดื่ม น้ าผลไม๎ ต๎องสะอาด และเก็บในภาชนะท่ีสะอาด มีฝาปิดมิดชิดในการท า 3.3.4 การท าน้ าผลไม๎ต๎องใช๎น้ าต๎มสุกผสมเทํานั้น 3.3.5 น้ าแข๎งใช๎ส าหรับรับประทานควรเก็บในภาชนะท่ีสะอาด มีฝาปิดมิดชิด มีอุปกรณ๑ส าหรับตัก และไมํแชํอาหารอื่นใดในถังน้ าแข็ง 4. การเลือก การล๎าง และการเก็บอุปกรณ๑และภาชนะใสํอาหารอุปกรณ๑และภาชนะใสํอาหารเป็นสิ่งสัมผัสกับอาหารโดยตรง จึงต๎องให๎ความส าคัญกับการเลือก การล๎าง และการเก็บอุปกรณ๑ตํางๆ 4.1.1 เลือกภาชนะใสํจานอาหาร จาน ชาม ช๎อน ส๎อม ที่ท าด๎วยวัสดุปลอดภัย เชํน สแตนเลส อลูมีเนียม เมลามีนคุณภาพดี สีอํอน ตะเกียบไมํตกแตํงสี 4.1.2 จาน ชาม เลือกใช๎ที่พ้ืนผิวเรียบ เพ่ือให๎ท าความสะอาดงําย 4.1.3 เขียงที่ใช๎เตรียมอาหารต๎องสภาพดีไมํแตกร๎าวแยกใช๎เขียงอยํางน๎อย 3 เขียงตามประเภทของอาหาร คือ เขียงส าหรับเนื้อสัตว๑สด เนื้อสัตว๑สุก ผัก ผลไม๎ ต๎องล๎างให๎สะอาดทั้งกํอนและหลังการใช๎งาน เก็บในที่มีอากาศถํายเทได๎ดีเพ่ือลดการปนเปื้อนเชื้อโรคในอาหาร 4.2 การล๎าง 4.2.1 ล๎างภาชนะ อุปกรณ๑ท่ีใช๎ใสํอาหารและช๎อน ส๎อมอยํางน๎อย 3 ครั้งหลังจากเก็บเศษอาหารออกแล๎วดังนี้ครั้งที่ 1 ล๎างด๎วยน้ ายาล๎างภาชะครั้งที่ 2 ล๎างด๎วยน้ าสะอาด หรือล๎างด๎วยน้ าไหลผําน 4.2.2 อํางล๎างภาชนะ ควรอยูํสูงจากพ้ืนอยํางน๎อย 60 เซนติเมตรควรมีทํอระบายน้ าที่ดี ไมํมีน้ าขังหรือเฉอะแฉะ จาน ชาม อุปกรณ๑ตํางๆ และอุปกรณ๑ตํางๆที่ล๎างสะอาดแล๎วคว่ าบนตะแกรงที่มีอากาศถํายเทได๎ดี และสูงจากพ้ืนอยํางน๎อย 60 เซนติเมตร ผึ่งให๎แห๎งไมํควรใช๎ผ๎าเช็ดภาชนะท่ีล๎างแล๎ว 4.3 การเก็บ 4.3.1 ช๎อน ส๎อม ตะเกียบ ให๎วางเอาด๎านด๎ามข้ึนข๎างบน ในตะกร๎าที่โปรํงสะอาดหมั่นดูแลตะกร๎าให๎สะอาดอยูํเสมอ 4.3.2 จาน ชามท่ีล๎างสะอาดแล๎ว ผึ่งให๎แห๎ง จึงเก็บใสํภาชนะท่ีมีการปกปิด

Page 42: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

49

4.3.3 เครื่องครัว เชํน หม๎อ กระทะ ตะหลิว ควรแขวนที่ด๎ามให๎สํวนที่ใสํอาหารหันเข๎าผนัง 5. สุขนิสัยสํวนบุคคลของผู๎ปรุง – เสิร๑ฟอาหารผู๎ปรุง หรือเตรียมอาหารควรมีสุขภาพ และสุขอนามัยสํวนบุคคลที่ดีและมีการแตํงกายสะอาด เหมาะสม ดังนี้ 5.1 ล๎างมือด๎วยสบูํ น้ าสะอาด กํอนและหลังการเตรียมปรุงอาหารและกํอนเสิร๑ฟอาหารให๎เด็ก 5.2 ระหวํางเตรียมและปรุงอาหารไมํควรพูดคุย และควรปิดปากด๎วยผ๎าสะอาดปูองกันการไอ จาม ปนเปื้อนอาหาร 5.3 ตัดเล็บสั้น รักษาให๎สะอาดอยูํเสมอ แลไมํสวมเครื่องประดับที่มือและนิ้ว 5.4 ไมํเตรียม ปรุง อาหารในขณะที่ปุวย มีไข๎ เจ็บคอ มีแผลเรื้อรังที่มือ และนิ้วหากมีบาดแผลควรปิดพลาสเตอร๑ให๎เรียบร๎อย 5.5 แตํงกายให๎สะอาด ถูกสุขลักษณะ เพื่อปูองกันการปนเปื้อนในอาหารดังนี้ 5.5.1 สวมเสื้อมีแขน เพ่ือปูองกันเหงื่อไคล 5.5.2 สวมหมวกคลุมผม และผ๎ากันเปื้อน ควรใช๎สีขาวเพ่ือให๎เห็นความสกปรกได๎งําย ปูองกันเส๎นผมและรังแคตกหลํนใสํอาหาร 5.6 ไมํใช๎มือสัมผัสอาหารที่พร๎อมบริโภคโดยตรง ต๎องใช๎ภาชนะในการหยิบจับอาหารที่สะอาด 5.7 ไมํใช๎ปากเปุาอาหารให๎เย็น กํอนให๎เด็กรับประทาน เพราะจะท าให๎น้ าลายปนเปื้อนในอาหารติดเชื้อโรคได๎ในกรณีท่ีศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กไมํได๎เตรียม ปรุงอาหารที่ศูนย๑ฯเอง ครูผู๎ดูแลเด็กควรที่จะตรวจสอบร๎านอาหารที่จะจ๎างเหมาท าอาหารให๎เด็กโดยใช๎แนวทางเดียวกันนี้ เพ่ือให๎ได๎ร๎านที่ท าอาหารสะอาดและปลอดภัยส าหรับเด็กมากที่สุด

6. โภชนาการส าหรับเด็ก เพ่ือให๎เด็กได๎รับสารอาหารที่มีประโยชน๑ตํอรํางกาย สํงผลตํอการเจริญเติบโตของเด็กตาม

พัฒนาการควรสํงเสริมให๎เด็กได๎รับสารอาหารครบ 5 หมูํ

8) บทบาทหน้าที่ของครูผู้ดูแลเด็ก (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น, 2547: 14) ผู๎ที่ท าหน๎าที่เป็นครูผู๎ดูแลเด็ก มีบทบาทในการปฏิบัติหน๎าที่ดังนี้ 1. ปฏิบัติหน๎าที่ตามกิจวัตรของเด็กครูผู๎ดูแลเด็กจะต๎องท าหน๎าที่ดูแลเด็กและปฏิบัติตาม

กิจวัตรประจ าวันของเด็ก เพ่ือให๎เด็กมีความเจริญเติบโต มีพัฒนาการทุกด๎านตามวัยและมีการเรียนรู๎ที่เหมาะสม

2. สํงเสริมพัฒนาการและการเรียนรู๎ของเด็กในลักษณะบูรณาการครูผู๎ดูแลเด็กท าหน๎าที่ พัฒนาการเด็กในลักษณะบูรณาการเชิงสร๎างสรรค๑ กลําวคือให๎เด็กได๎พัฒนาการด๎านรํางกาย อารมณ๑ สังคม สติปัญญา และจริยธรรมไปพร๎อมๆกันโดยให๎โอกาสเด็กเรียนรู๎จากสิ่งของและผู๎คนที่อยูํรอบข๎าง

Page 43: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

50

ซ่ึงเด็กจะเรียนรูโ๎ดยประสาทสัมผัสท้ังห๎า การเคล่ือนไหว การเลนํ และการลงมือกระท า ดังน้ันผูดู๎แลเด็กจะต๎องสํงเสริมให๎โอกาสเด็กได๎พัฒนาอยํางเต็มที่ รวมทั้งปฏิสัมพันธ๑กับเด็กด๎วยค าพูด และกิริยาทําทางที่นิ่มนวล อํอนโยน แสดงความรักความอบอุํน

3. สังเกต เฝูาระวัง และบันทึกการเจริญเติบโต พฤติกรรม พัฒนาการด๎านตํางๆของเด็ก ครูผู๎ดูแลเด็กจะต๎องเป็นคนชํางสังเกต เฝูาระวังปัญหาสุขภาพ พัฒนาและเรียนรู๎ของเด็ก จดบันทึกพฤติกรรมเพ่ือจะได๎เห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งปกติและผิดปกติท่ีเกิดขึ้นกับเด็ก ซึ่งจะน าไปสูํการค๎นหาสาเหตุ เพื่อชํวยเหลือการแก๎ไขได๎ทันทํวงที

4. มีการเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไมํพึงประสงค๑ของเด็ก ครูผู๎ดูแลเด็กจะเป็นคนชํางสังเกต มี ความรู๎ และเข๎าใจพฤติกรรมเป็นปัญหา และไมํพึงประสงค๑ของเด็ก ซึ่งพฤติกรรมนั้นอาจเกิดจากการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก รวมทั้งการปรับตัวของเด็กตํอสิ่งแวดล๎อม หากไมํได๎รับการแก๎ไขแนวทางท่ีเหมาะสม อาจน าไปสูํปัญหาทางพฤติกรรมของเด็กในอนาคตแม๎วําเด็กแตํละคนจะแตกตํางกันตามพันธุกรรมและการอบรมเลี้ยงดู แตํถ๎าเข๎าใจและชํวยลดพฤติกรรมจะชํวยขจัดปัญหาที่ตามมาได๎ทันทํวงที

5. จัดสิ่งแวดล๎อมที่ปลอดภัย ถูกสุขลักษณะ เหมาะสมกับการพัฒนาเด็กทุกด๎าน ครูผู๎ดูแล เด็กจะต๎องดูแลจัดสภาพแวดล๎อมท้ังภายในอาคารและนอกอาคารให๎สะอาดถูกสุขลักษณะ ปลอดภัย และมีบรรยากาศเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก

6. ประสานสัมพันธ๑ระหวํางศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก ครอบครัวและชุมชน ครูผู๎ดูแลเด็กจะต๎อง เป็นผู๎ประสานความสัมพันธ๑ระหวํางศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กโดยเป็นกลางในการสร๎างความสัมพันธ๑ที่ดีระหวํางเด็กกับพํอแมํ หรือผู๎ปกครองสมาชิกในครอบครัวและบุคคลตํางๆในชุมชน เพ่ือทราบถึงพฤติกรรม พัฒนาการเปลี่ยนแปลงของเด็กได๎อยํางรวดเร็วและตํอเนื่อง

7. รู๎จักพัฒนาตนเองในทางวิชาการและวิชาชีพครูผู๎ดูแลเด็กจะต๎องใฝุหาความรู๎ในการ พัฒนาตนเองอยูํเสมอดังนี้

7.1 การพัฒนาด๎านความรู๎ทางวิชาการและทักษะอาชีพอยํางตํอเนื่อง เชํน การศึกษา หาความรู๎ การเข๎ารับการอบรมอยํางตํอเนื่องอยําสม่ าเสมอ การติดตามการเปลี่ยนแปลงด๎านความรู๎และเทคโนโลยีโดยอาศัยสื่อที่หลากหลาย รวมทั้งการรวมกลุํมแลกเปลี่ยนประสบการณ๑ การศึกษาดูงานศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก/สถานพัฒนาเด็กที่มีคุณภาพ การเข๎ารํวมเป็นสมาชิกและจัดตั้งชมรมเครือขํายครูผู๎ดูแลเด็ก ซึ่งจะกํอให๎เกิดประโยชน๑โดยตรงแกํครูผู๎ดูแลเด็ก

7.2 การพัฒนาด๎านบุคลิกภาพ จะต๎องเป็นผู๎ที่มีคุณลักษณะรักเด็ก อุปนิสัยอํอนโยนมี กิริยามารยาทนิ่มนวล อํอนหวาน ใจเย็น รู๎จักปรับปรุงและพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองอยูํเสมอ

หน๎าที่ของครูผู๎ดูแลเด็ก (กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น, 2547 : 16) ครูผู๎ดูแลเด็ก จะอยูํใกล๎ชิดกับเด็กตลอดทั้งวัน ดังนั้น จึงมีหน๎าที่ดังนี้

Page 44: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

51

1. อบรมเลี้ยงดูเด็ก ตั้งแตํรับจากผู๎ปกครองจนกระทั่งสํงคืนผู๎ปกครอง 2. จัดกิจกรรมประจ าวัน เพ่ือสํงเสริมพัฒนาการ และเตรียมความพร๎อมให๎กับเด็กให๎

มีสุขภาพสมบูรณ๑ แข็งแรง และได๎รับการพัฒนา ทั้งรํางกาย จิตใจ อารมณ๑ สังคม และสติปัญญา และลักษณะนิสัย โดนจัดกิจกรรทกลางแจ๎งในรํม และจัดกิจกรรมตํางๆ เชํน มุมหนังสือ มุมศิลปะ มุมดนตรี มุมตุ๏กตา มุมบล็อก ฯลฯ

3. ปลูกจิตส านึกให๎เด็กรักชาติ ศาสนา และพระมาหากษัตริย๑ การปกครองระบบ ประชาธิปไตย การรักษาสิ่งแวดล๎อม ความมีระเบียบวินัยความรับผิดชอบ ความมีน้ าใจ ฯลฯ

4. ดูแลความปลอดภัยและรักษาความสะอาดภายในและภายนอกอาคารของศูนย๑ฯ 5. ให๎เด็กเคาระธงชาติ และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา 6. ส ารวจรายชื่อเด็กท่ีรับการเลี้ยงดูประจ าวัน เยี่ยมเยือนผู๎ปกครองเด็ก ในกรณีท่ีเด็ก

ไมํมาเรียนเกิน 3 วัน และในกรณีที่เกิดปัญหาอื่นๆ 7. จัดเตรียมสถานที่เรียน จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ๑การเรียนการสอน โดยเน๎นที่มีอยูํ

แล๎วในท๎องถิ่น จัดอาหารเสริม น้ าดื่มน้ าใช๎ จัดท าบันทึกการสอน และบันทึกประจ าตัวเด็กตลอดจนท าทะเบียนอุปกรณ๑การเรียนการสอน

8. จัดท าบัญชีรายรับ-รายจําย ตามโครงการอาหารเสริม (นม) ส าหรับเด็ก 9. จัดท าบัญชีรายการอาหารกลางวันรายสัปดาห๑ ตามโครงการจัดหาอาหารกลางวัน

ส าหรับเด็ก 10. รํวมกับคณะกรรมการพัฒนาเด็กเล็ก ผู๎ปกครอง จัดบรรยากาศสิ่งแวดล๎อมใน

บริเวณศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก

2.2 บริบทของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต าบลป่าสัก อ าเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ สภาพทั่วไปของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กองค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสัก อ าเภอวังชิ้น จังหวัดแพรํ

2.2.1 ประวัติองค์การบริหารส่วนต าบลป่าสัก องค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสัก ได๎รับการยกฐานะจาก สภาต าบลเป็น องค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสัก เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2540 และเม่ือวันที่ 25 มิถุนายน 2545 ได๎รับการบริจาคที่ดินจาก แมํคิ่น จ าปี โดยนายสมชัย จ าปี ผู๎รับมอบอ านาจ จ านวนเนื้อที่ 3 ไรํ 3 งาน 19 ตารางวา เพ่ือเป็นสถานที่ส าหรับกํอสร๎างอาคารส านักงานหลังปัจจุบัน โดยได๎เริ่มกํอสร๎างอาคารในปี พ.ศ.2544 และได๎ย๎ายส านักงานจากอาคารที่ท าการจากสภาต าบลปุาสักเดิม มาเริ่มปฏิบัติงานในอาคารส านักงานอาคารหลังปัจจุบัน เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2545 จนถึงปัจจุบัน และเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2547 องค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสัก ได๎ด าเนินการซื้อที่ดินบริเวณข๎างเคียงเพ่ิมอีกจ านวน 1 ไรํ 3 งาน 43 ตารางวา รวมเป็นเนื้อท่ีทั้งหมด 5 ไรํ 2 งาน 62 ตารางวา

Page 45: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

52

ปัจจุบันองค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสัก ตั้งอยูํเลขที่ 114/1 หมูํที่ 3 บ๎านปุาสัก ต าบลปุาสัก อ าเภอวังชิ้น จังหวัดแพรํ นโยบายการศึกษาขององค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสัก เนื่องจากการศึกษาเป็นพื้นฐานส าคัญในการด าเนินชีวิตในอนาคตจึงได๎ก าหนดนโยบายดังนี้ 1.) สนับสนุนชํวยเหลือเด็กนักเรียนที่เรียนดีแตํขาดแคลนทุนทรัพย๑ 2.) สํงเสริมและสนับสนุนพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการศึกษา 3.) พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ให๎มีความสามารถในการพัฒนาและการจัดกระบวนการเรียนรู๎ 4.) สนับสนุนให๎สถานศึกษา พัฒนาคุณภาพการศึกษาได๎ตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ การจัดการศึกษาปฐมวัยเป็นพื้นฐานที่ส าคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย๑เนื่องจากเด็กในชํวงวัยนี้เป็นอายุที่สามารถพัฒนาความพร๎อมทางด๎านรํางกาย อารมณ๑ จิตใจ สังคม และสติปัญญา องค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสัก มีศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กจ านวน 2 แหํงคือ ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสัก และศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก บ๎านแมํกระต๐อม 2.2.2 ประวัติการก่อตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านป่าสัก ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสัก เริ่มกํอตั้งเมื่อ พ.ศ. 2538 โดยผู๎ใหญํจ ารัส นันทะเรือน เป็นผู๎ประสานงานกับพัฒนาชุมชน และคุณสมชัย จ าปี ได๎สร๎างศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กข้ึนด๎วยความรํวมมือรํวมใจของชาวบ๎านชํวยกันสร๎างและบริจาควัสดุ อุปกรณ๑ สภาพอาคารหลังคามุงด๎วยหญ๎าคา ฝาตีด๎วยไม๎ไผํ พ้ืนคอนกรีตไมํได๎ฉาบ มีเด็กมาใช๎บริการ 40 คน ได๎เก็บคํารายเดือนๆละ 30 บาท เพื่อใช๎จํายในศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสัก พ.ศ. 2541 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสัก ได๎จัดงานผ๎าปุาเพื่อหารายได๎ซํอมแซมหลังคาที่มุงด๎วยหญ๎าคา ซึ่งหญ๎าคาท่ีมุงเริ่มเสื่อมสภาพ ฤดูฝนหลังคารั่ว จึงได๎น าเงินที่ได๎น าไปเปลี่ยนเป็นหลังคามุงกระเบื้อง พ.ศ. 2543 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสัก ได๎รับเงินงบประมาณจากกองทุนพัฒนาเด็กเล็กจ านวน 30,000 บาท น ามาสร๎างฝาห๎องเป็นบล็อกและมีหน๎าตําง โดยขอแรงชาวบ๎านชํวยกันสร๎าง พ.ศ. 2544 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสัก ได๎รับเงินบริจาค จากคุณสุรินทร๑ คุณอนงค๑ เหลําพัทรเกษม เป็นจ านวนเงิน 5,500 บาท จึงน ามาซื้อโต๏ะท างานของผู๎ดูแลเด็ก ตู๎เก็บของ และของเลํนในรํม และทางศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสักได๎จัดท าฉลากข้ึน เพื่อหารายได๎ซื้อโทรทัศน๑โดยคณะกรรมการศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก ผู๎ดูแลเด็ก และผู๎ปกครองเป็นผู๎น าไปจ าหนําย เป็นเงินจ านวน 7,700 พ.ศ. 2545 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสักได๎รับเงินผ๎าปุาจากผู๎มีจิตศรัทธาที่ไปท างานประเทศญี่ปุุน โดยคุณสมชาย ตาค า และคุณโสภา มัดจิตร เป็นเงินจ านวน 50,000 น ามาสร๎างโรงอาหาร ซื้อโต๏ะ และเก๎าอ้ีให๎เด็กนั่งรับประทานอาหาร พ.ศ. 2546 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสักได๎รับงบประมาณสนับสนุนจากองค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสัก เป็นจ านวนเงิน 30,000 บาท เพ่ือตํอเติมด๎านหน๎าอาคาร ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสัก

Page 46: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

53

ได๎รับเงินผ๎าปุาจากผู๎ที่ไปท างานประเทศอิสราเอล โยคุณสมบัติ ชมพู และคุณสวน ก๐องก๐อง เป็นเงินจ านวน 52,570 บาท และผ๎าปุาจากผู๎มีจิตรศรัทธาที่ไปท างานตํางจังหวัดสมทบอีกเป็นจ านวนเงิน 14,000 บาท ซึ่งน าเงินที่ได๎ไปซื้อกระเบื้องปูโรงอาหาร ปูพ้ืนอาคารหลังเกํา และเปลี่ยนบานหน๎าตํางเป็นบานเลื่อน พ.ศ. 2547 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสักได๎ขอบริจาคกระเบื้องและปูนจากผู๎มีจิตรศรัทธา ปูประเบื้องด๎านหน๎าเป็นจ านวนเงิน 3,000 บาท พ.ศ. 2549 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสักได๎รับงบประมาณสนับสนุนจากองค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสัก น ามาสร๎างโครงหลังคาสนามเด็กเลํน เป็นงบประมาณ 65,000 บาท และจัดสภาพภูมิทัศน๑บริเวณสนามเด็กเลํน พ.ศ. 2550 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสักได๎รับงบประมาณสนับสนุนจากองค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสัก สร๎างอาคารหลังใหมํ เป็นจ านวนเงิน 200,000 บาท ปัจจุบันศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสัก มีจ านวนนักเรียน 40 คนมีครูผู๎ดูแลเด็กจ านวน 1 คนและมีผู๎ชํวยครูผู๎ดูแลเด็กจ านวน 2 คน ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสักได๎ผํานการประเมินจากสาธารณสุขจังหวัดแพรํใน ปี พ.ศ. 2548 – 2552 อยูํในระดับดีมาก ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กได๎ผํานการประเมินเกณฑ๑มาตรฐาน 12 มาตรฐานจากกรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น และก าลังรอรับการประเมินจาก ส านักงานรับรองมาตรฐานและการประเมินคุณภาพ (สมศ.) ในปี 2558 นี้และรับรองให๎เป็นสถานศึกษาที่มีคุณภาพตํอไป

Page 47: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

54

โครงสร้างของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านป่าสัก

คณะกรรมการบริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านป่าสัก

ประธานคณะกรรมการบริหาร คณะกรรมการ เลขานุการ ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก องค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่น

1. นายประเสริฐ ถุงค า กรรมการผู๎ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา 2. นางสุภาพ วงค๑หนังสือ กรรมการผู๎แทน อปท. 3. นานทัน ไชยบัวแก๎ว กรรมการองค๑กรประชาคม 4. นายวาล ใจตา ผู๎แทนผู๎ปกครอง 5. นางผกาวรรณ สาริน ผู๎แทนผู๎ดแูลเด็ก นายสมพงษ๑ ปวนหนิ้ว นางรัญชนา กลางสวัสดิ์

ภาพที่ 2.1 โครงสร๎างการบริหารศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านปุาสัก 2.2.3 ประวัติและความเป็นมาของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านแม่กระต๋อม พ.ศ.2538 เริ่มกํอตั้งศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อมโดย นางอินทรีย๑ ยะพันธ๑ บ๎านเลขที่ 28 หมูํที่ 10 สภาพบ๎านไม๎สักหลังเกํามีเด็กเข๎ารับการดูแลจ านวน 20คน มีผู๎ดูแลเด็ก 1 คนได๎จัดท าโครงการขอรับงบประมาณสนับสนุนจากพัฒนาชุมชนอ าเภอวังชิ้น แตํทางพัฒนาชุมชนอ าเภอวังชิ้นขอทดลองความเข๎มแข็งในการชํวยเหลือตนเองของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กเป็นเวลา 1 ปี

Page 48: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

55

พ.ศ.2540 พ.ศ.2544 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อมได๎มีจ านวนเด็กเพ่ิมมากขึ้น เป็นจ านวน 65 คน คุณอินทรีย๑ ยะพันธ๑ ผู๎มีจิตเมตตา มูลนิธิตํางๆได๎เข๎ามาชํวยเหลือเด็กที่ด๎อยโอกาส และมีปัญหาหยําร๎างกันเด็กขาดการดูแลเอาใจใสํที่ดี ขาดความอบอํุน โดยมีคุณ สจ.วัฒนา ผาทอง มูลนิธิแพรํรํวมใจ มีแมํชีอ านวยพร ถาวรญาณี คุณมยุรา ถาวร นักจัดรายการวิทยุ อสมท.แพรํ คุณกิติพันธุ๑ อาจารย๑อารี ได๎มอบผ๎าหํมกันหนาว ขนม เสื้อผ๎า นมถั่วเหลือง วันที่ 10 เมษายน พ.ศ 2545 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อมได๎รับงบประมาณในการกํอสร๎างห๎องน้ า 1 ห๎อง จากนักศึกษาออกคํายวัดมงกุฎกษัตริย๑ กรุงเทพมหานคร เป็นเงินจ านวน 10,000 บาท วันที่ 10 มิถุนายน 2545 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อมได๎รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสักเป็นคําวัสดุอุปกรณ๑การเรียนการสอนเป็นจ านวนเงิน 5,000 บาท วันที่ 1 ตุลาคม 2545 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อมได๎รับงบประมาณคําอาหารเสริม(นม) อาหารกลางวัน ส าหรับเด็กและคําตอบแทนผู๎ดูแลเด็กจ านวน 1 คน เพราะจ านวนเด็กได๎เพ่ิมข้ึน พ.ศ.2546 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อมได๎โอนย๎ายจากกรมพัฒนาชุชนมาเป็นสังกัดองค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสัก ต าบลปุาสัก และจัดท าโครงการขอรับงบประมาณสนับสนุนจากองค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสัก สร๎างอาคารหลังใหมํ เป็นจ านวนเงิน 500,000 บาท และขอเพ่ิมผู๎ดูแลเด็กจ านวน 1 คน พ.ศ.2547 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อมได๎ผู๎ดูแลเด็กเพ่ิมอีก 1 คน พ.ศ.2550 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อมได๎ผู๎ดูแลเด็กเพ่ิมอีกจ านวน 2 คนและได๎รับงบประมาณสนับสนุนในการกํอสร๎างรั้วคอนกรีตบริเวณด๎านหน๎าของศูนย๑ พ.ศ.2551 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อมได๎รับงบประมาณสนับสนุนการถมดินเพ่ือปิดทํอระบายน้ าบริเวณจุดวางเครื่องเลํนสนาม พ.ศ.2552 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อม ผู๎ดูแลเด็กรํวมกับผู๎ปกครอง ผู๎น าชุมชน คนในชุมชนและผู๎มีจิตรศรัทธาจัดท าผ๎าปุาสมทบทุนเพื่อพัฒนาศูนย๑เด็กเล็ก ในการท าเหล็กดัดปิดกั้นห๎องกลางของอาคาร ท ากันสาดกันแดด กันฝนด๎านหน๎าอาคาร ทาสีทั้งด๎านในและด๎านนอกตัวอาคาร พ.ศ.2553 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อมได๎จัดท าฉลากเพ่ือหารายได๎สมทบทุนซื้อเครื่องปริ้นเตอร๑ บํอน้ า บํอทราย และพัดลมติดผนัง เพ่ือใช๎ภายในศูนย๑ และได๎รับงบประมาณในการเปลี่ยนปลั๊กไฟภายในศูนย๑ให๎ปลอดภัยส าหรับเด็ก พ.ศ.2554 ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อมได๎รับงบประมาณสนับสนุนจากองค๑การบริหารสํวนต าบลปุาสักเปลี่ยนเสาไฟฟูาจ านวน 2 ต๎น และคอนกรีตแผํนปิดปากทํอระบายน้ า และโถฉี่ส าหรับเด็กผู๎ชาย 2 โถ ราวเด็กส าหรับเด็กในห๎องน้ า 4 อัน และทางศูนย๑ได๎ขอความรํวมมือจาก

Page 49: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

56

ผู๎ปกครองสนับสนุนในการจัดท าปูายศูนย๑เพ่ือติดไว๎บริเวณด๎านหน๎าของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กได๎รับอนุเคราะห๑จากคุณอินทรีย๑ ยะพันธ๑ และคุณศักดิ์ดา วงค๑ชัยวะ ปัจจุบันศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อมผํานการประเมินจากสาธารณสุข จังหวัดแพรํในปีพ.ศ.2550 อยูํในระดับดี พ.ศ.2551 – พ.ศ.2553 อยูํในระดับดีมาก ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อมได๎ผํานการประเมินเกณฑ๑มาตรฐาน 12 มาตรฐาน จากกรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถิ่น ในปี พ.ศ.2551 พ.ศ.2554 ได๎รับการประเมินจากสาธารณสุขจังหวัดแพรํให๎เป็นศูนย๑เด็กเล็กต๎นแบบระดับอ าเภอวังชิ้นและจังหวัดแพรํ และรางวัลศูนย๑ปลอดโรคจากสาธารณสุขจังหวัดแพรํและก าลังจะได๎รับการประเมินจากส านักงานรับรองมาตรฐานและการประเมินคุณภาพ (สมศ.) รับรองให๎เป็นสถานศึกษาท่ีมีคุณภาพตํอไป

Page 50: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

57

โครงสร้างการบริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านแม่กระต๋อม

คณะกรรมการบริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านแม่กระต๋อม

ประธานคณะกรรมการบริหาร คณะกรรมการ เลขานุการ ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก องค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่น 1. นายสังคม อินกันยา กรรมการผู๎ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา 2. นายบุญชน ฟูปิง กรรมการผู๎แทน อปท. 3. นายมานิตย๑ ทะหล๎า กรรมการองค๑กรประชาคม 4. นางอาทิตยา วงค๑ไขํ ผู๎แทนผู๎ปกครอง 5. นางสาวนงเยาว๑ กิ่งสุภา ผู๎แทนผูด๎ูแลเด็ก นายทศ ดูแก๎ว นางอินทรีย๑ ยะพันธ๑

ภาพที่ 2.3 โครงสร๎างการบริหารศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านแมํกระต๐อม

การด าเนินงานของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก เป็นที่กลําวกันโดยทั่วไปในวงการในปัจจุบันวํา ผู๎บริหารเป็นผู๎ที่มีบทบาทที่ส าคัญที่สุด ในฐานะที่เป็นผู๎ที่มีสํวนรํวมรับผิดชอบอยํางใกล๎ชิดตํอการด าเนินงานอันเป็นพ้ืนฐานการศึกษาทุกระดับ การที่จะปฏิบัติงานในหน๎าที่ให๎เหมาะสมกับความส าคัญที่มีผู๎กลําวถึงได๎นั้นผู๎บริหารจะต๎องมีความรู๎ความเข๎าใจของเรื่องในงานบริหารของโรงเรียนอันเป็นหน๎าที่รับผิดชอบของงาน(ส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหํงชาติ,2535: 4) ส าหรับหน๎าที่ความรับผิดชอบของ

Page 51: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

58

โรงเรียนประกอบไปด๎วยกิจส าคัญ 3 ประการ คือ ด๎านครู ด๎านการเรียนการสอน ด๎านความสัพพันธ๑กับผู๎ปกครอง ปัญหาด๎านครูของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก หรือผู๎ดูแลเด็ก ผู๎ดูแลเด็กในศูนย๑ฯบางทํานยังมาสามารถควบคุมดูแลเด็กได๎ในชั้นให๎เป็นระเบียบเทําที่ควร ผู๎ปฏิบัติงานศูนย๑ฯ ลาบํอยๆผู๎ปฏิบัติงานในศูนย๑ฯ ไมํสนใจ คอยสังเกตพัฒนาการเด็ก ท าหน๎าที่เพียงอบรมเลียงดูเด็กปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการสอน ผู๎ดูแลเด็กจัดกิจกรรมที่ซ้ าๆเดิมๆ ไมํสอนตามข้ันตอนการเรียนการสอน ผู๎ดูแลเด็กไมํคํอยเข๎าใจหลักสูตรการเรียนการสอน ปัญหาเกี่ยวกับผู๎ปกครอง ไมํเข๎าใจวัตถุประสงค๑ของการจัดการศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก ยังไมํเข๎าใจกระบวนการด าเนินงานของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก ผู๎ปกครองรักและหํวงใยบุตรหลานมากเกินไปเมื่อมาอยูํศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก ผู๎ปกครองเด็กทิ้งเด็กไว๎จนเย็น เป็นภาระแกํครูมากเกินไป และไมํชํวยดูแลความสะอาดสุขภาพรํางกายทั่วไปของเด็ก

2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.3.1 งานวิจัยในประเทศ กฤติมา ไทยหนุํม (2553) ได๎ท าการศึกษาเรื่อง ความพึงพอใจของผู๎ปกครองตํอการด าเนินงานศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดองค๑การบริหารสํวนต าบลหนองมะคํา จังหวัดลพบุรี ผลการศึกษาพบวําผู๎ปกครองมีความพึงพอใจตํอการจัดการศึกษาของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค๑การบริหารสํวนต าบลในอ าเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ๑ โดยภาพรวมอยูํในระดับมาก 3 ด๎านได๎แกํ ด๎านวิชาการและกิจกรรมหลักสูตรด๎านบุคลากรและบริหารจัดการ และด๎านการมีสํวนรํวมและสนับสนุนจากชุมชนและอยูํในระดับปานกลางเพียงด๎านเดียว คือ ด๎านอาคารสถานที่และสิ่งแวดล๎อมและความปลอดภัย ชนุตพร เชียงศรี (2553: 109-111) ได๎ท าการศึกษาเรื่อง การพัฒนาบุคลากรในการจัดประสบการณ๑เรียนรู๎ระดับปฐมวัย ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านบัวแดง เทศบาลต าบลปทุมรัตน๑ อ าเภอปทุมรัตน๑ จังหวัดร๎อยเอ็ด ผลการศึกษาพบวํา การพัฒนาบุคลากรในการจัดประสบการณ๑การเรียนรู๎ระดับปฐมวัย ในวงรอบที่ 1 โดยใช๎กลยุทธ๑การประชุมเชิงปฏิบัติการและการนิเทศท าให๎กลุํมผู๎รํวมศึกษาค๎นคว๎ามีความรู๎ ความเข๎าใจในหลักการจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2546 และสามารถจัดกิจกรรมประจ าวันที่ควรจัดให๎เด็กปฐมวัย 6 กิจกรรมหลักได๎ในระดับหนึ่ง เนื่องจากกลุํมผู๎รํวมศึกษาค๎นคว๎าทั้ง 4 คน ยังขาดความช านาญและยังไมํมีความเข๎าใจดีพอและยังไมํสามารถจัดกิจกรรมสร๎างสรรค๑ และกิจกรรมเสริมประสบการณ๑ได๎ จึงได๎ด าเนินการพัฒนาในวงรอบที่ 2 โดยใช๎กลยุทธ๑การประชุมเชิงปฏิบัติการด๎วยการฝึกปฏิบัติจริง การสาธิตการสอนเป็นรายบุคคล ประกอบการมีวิทยากรให๎ค าปรึกษาให๎ค าแนะน า ชํวยเหลือปรับปรุงแก๎ไขและเทคนิคการจัดกิจกรรมในประเด็นที่เป็นปัญหาอยํางใกล๎ชิดจนกลุํมผู๎รํวมศึกษาค๎นคว๎าสามารถจัดกิจกรรมได๎ด๎วยความมั่นใจ โดยสรุป การพัฒนาบุคลากรในการจัดประสบการณ๑การเรียนรู๎ระดับปฐมวัย ของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กบ๎านบัวแดง เทศบาลต าบลปทุมรัตน๑ อ าเภอปทุมรัตน๑ จังหวัดร๎อยเอ็ด โดยใช๎กลยุทธ๑ การประชุมเชิง

Page 52: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

59

ปฏิบัติการ และการนิเทศ ท าให๎บุคลากรมีความรู๎ ความเข๎าใจ และสามารถจัดประสบการณ๑การเรียนรู๎ระดับปฐมวัยตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ด๎านการจัดกิจกรรมประจ าวันทั้ง 6 กิจกรรมหลักในชั้นเรียนได๎อยํางมั่นใจและมีประสิทธิภาพ จึงควรสนับสนุนสํงเสริมให๎น ากลยุทธ๑ดังกลําวไปใช๎พัฒนาบุคคลากรในการจัดประสบการณ๑การเรียนรู๎ระดับปฐมวัยของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กอ่ืนๆตํอไป อุมาพร ขัวญคุ๎ม (2553: 101-102) ได๎ท าการศึกษาเรื่อง การพัฒนาบุคคลากรด๎านการจัดประสบการณ๑ส าหรับเด็กปฐมวัยศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก องค๑การบริหารสํวนต าบลหนองตูม อ าเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมมิ ผลการศึกษาพบวํา การพัฒนาบุคลากรด๎านการจัดประสบการณ๑ส าหรับเด็กปฐมวัยในศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก องค๑การบริหารสํวนต าบลหนองตูม อ าเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ โดยใช๎กลยุทธ๑การประชุมเชิงปฏิบัติการ และการนิเทศกการสอนในวงรอบที่ 1 การประชุมเชิงปฏิบัติการและการนิเทศการสอน ท าให๎กลุํมเปูาหมายมีความรู๎ ความเข๎าใจเพ่ิมมากขึ้น โดยกํอนการประชุมปฏิบัติการผลการทดสอบได๎คะแนนเฉลี่ยร๎อยละ 67.34 หลังการประชุมปฏิบัติการได๎คะแนนเฉลี่ยร๎อยละ 88 และสามารถเขียนแผนการจัดประสบการณ๑แบบบูรณาการส าหรับเด็กปฐมวัยได๎ตามกิจกรรมประจ าวัน 6 กิจกรรมได๎ในระดับความเหมาะสมมาก และสามารถจัดประสบการณ๑แบบบูรณาการส าหรับเด็กปฐมวัยตามแผนได๎ในระดับความเหมาะสมมาก แตํเมื่อพิจารณาการประเมินเป็นรายข๎อ พบวํา ยังมีบางข๎ออยูํในระดับความเหมาะสมปานกลา ยังไมํเป็นที่นําพอใจจึงให๎ด าเนินการพัฒนาตํอในวงรอบที่ 2 โดยใช๎กลยุทธ๑การนิเทศการสอน ซึ่งวิทยากรให๎ค าปรึกษาให๎ค าแนะน าชํวยเหลือ ปรับปรุงแก๎ไข จนท าให๎กลุํมเปูาหมายสามารถจัดประสบการณ๑ แบบบูรณาการ4ประสบการณ๑ส าหรับเด็กปฐมวัยในศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก องค๑การบริหารสํวนต าบลหนองตูม อ าเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ โดยใช๎กลยุทธ๑ประชุมเชิงปฏิบัติการ และการนิเทศการสอน ท าให๎ผู๎ดูแลเด็กมีความรู๎ ความเข๎าใจและสามารถจัดประสบการณ๑การเรียนการสอนแบบบูรณาการส าหรับเด็กปฐมวัย ตามกิจกรรมประจ าวัน 6 กิจกรรมหลักในชั้นเรียนได๎ ผู๎ดูแลเด็กมีความมั่นใจในการจัดประสบการณ๑ส าหรับเด็กปฐมวัยเพ่ิมขึ้น จึงควรสํงเสริมและสนับสนุนให๎น ากลยุทธ๑ทั้งสองดังกลําวไปใช๎พัฒนาบุคคลากรศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กอ่ืนๆ ตํอไป อาทิตย๑ ศรีธิพันธุ๑ (2554) ได๎ท าการศึกษาเรื่อง การจัดปัจจัยบริหารจัดการศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กขององค๑การบริหารสํวนต าบลสันผีเสื้อ จังหวัดเชียงใหมํ พบวํา สภาพการจัดปัจจัยในการบริหารจัดการศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กขององค๑การบริหารสํวนต าบลสันผีเสื้อ จังหวัดเชียงใหมํ ด๎านที่มีการจัดปัจจัยบริหารศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กอยูํในระดับมากที่สุด คือ ด๎านสํงเสริมเครือขํายศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กปฐมวัย ด๎านวิชาการ และกิจกรรมตามหลักสูตร ด๎านที่มีปัจจัยบริหารศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กอยูํในระดับมากคือด๎านการบริหารจัดการศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก พบวํา ในด๎านการบริหารจัดการศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กควรจัดสรรงบประมาณด๎านการเตรียมความพร๎อมเด็กและวัสดุ ครุภัณฑ๑ เพ่ือใช๎ดูแลนักเรียนภายใน

Page 53: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

60

ศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก ควรสํงเสริมบุคคลากรในศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กให๎ได๎รับการอบรมเชิงปฏิบัติการในการดูแลเด็กในศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กให๎เป็นศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กตัวอยําง จัดสรรงบประมาณดูแลสถานที่ของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก ในด๎านวิชาการ และกิจกรรมตามหลักสูตรควรมีการนิเทศติดตามกิจกรรมศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กอยํางตํอเนื่อง ควรประสานงานและท าความเข๎าใจในกระบวนการการจัดกิจกรรมเตรียมความพร๎อมภายในศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก เพชรรัตน๑ เบี้ยเลี่ยม (2547) อ๎างถึงใน (อดิศา เสนแก๎ว,2550: 71) ได๎ศึกษาปัญหาการจัดการศึกษาปฐมวัยในสถานพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย๑ในเขตกรุงเทพมหานคร พบวําการจัดการศึกษาปฐมวัยในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในภาพรวมอยูํในระดับปฏิบัติมากโดยเฉพาะโภชนาการ มีการปฏิบัติมากที่สุด สํวนการจัดการสภาพแวดล๎อมมีการปฏิบัติน๎อยท่ีสุด แตํการมีสํวนรํวมของผู๎ปกครองมีการปฏิบัติน๎อยที่สุด พบวํา การจัดสภาพแวดล๎อมมีปัญหามากที่สุด สํวนความปลอดภัยอยูํ ในระดับน๎อยและจัดประสบการณ๑มีปัญหาน๎อยที่สุด

2.3.2 งานศึกษาต่างประเทศ ไวเทเคอร๑ (Whitaker, 1978: 3839) (Whitaker, อ๎างในอดิศา เสนแก๎ว, 2550: 72) ได๎

ศึกษาทัศนะของผูปกครองและผู๎บริการที่มีตํอการมีสํวนรํวมของประชาชน บริเวณท่ีตั้งของโรงเรียน ในเมือง เกี่ยวกับการวินิจฉัยสั่งการหรือการตัดสินใจด๎านการศึกษา พบวําผู๎ปกครองรู๎สึกวําความไมํสะดวกในการรับข๎อมูล หรือประกาศเก่ียวกับโรงเรียนเป็นอุปสรรคตํอการมีสํวนรํวมในเรื่องนโยบายการตัดสินใจทางการศึกษา แตํผู๎บริหารกลับเห็นวํา ผู๎ปกครองยังมีอิทธิพลตํอโรงเรียน แม๎วําจะมีความสนใจน๎อยก็ตาม ผู๎วินิจฉัยจึงสรุปได๎วํา ชุมชนมีความส าคัญและควรมีสํวนรํวมในการปรับปรุงโรงเรียน ซึ่งบุคลากรในโรงเรียนควรตระหนักถึงและวางโครงการรํวมกัน ให๎บุคคลในชุมชนเข๎ามามีสํวนรํวมกับ โรงเรียนด๎วย

บูฟร๑อด (Buford,1977:.5657) (Buford,1977 อ๎างถึงในอดิศา เสนแก๎ว, 2550: 72) ได๎ ท าการศึกษาเรื่องทัศนะของผู๎ปกครองที่มีตํอการเรียนการสอนระดับอนุบาล โดยศึกษาจากผู๎ปกครอง นักเรียน 219 คน จากสมาคมผู๎ปกครองที่เมืองเอ็ดปอนด๑ โอคลาโฮมา ผลการศึกษาพบวํา 1) เด็ก กํอนวัยเรียนจ าเป็นต๎องเริ่มพัฒนาโปรแกรมการเรียนอนุบาล 2) การสอนในชั้นอนุบาลควรเป็น การพัฒนาการทางด๎านอารมณ๑ จิตวิทยาเด็ก และพัฒนาการทางด๎านรํางกาย ตามล าดับ 3) ควรจัดกิจกรรมที่ชํวยให๎เด็กมีความรู๎สึกที่ดีตํอตนเองให๎ได๎ บลูม ( Bloom) (อ๎างถึงใน, สุนัน ขันทะสิทธิ,์ “การศึกษาการจัดการศึกษาปฐมวัยในศูนย๑พัฒนาเด็ก เล็ก

สังกัดองค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่น ในจังหวัดเลย” : 48) ได๎วิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาทางสติปัญญาและบุคลิกภาพมนุษย๑ พบวํา ระยะ 4 ปี แรก สติปัญญาของเด็กได๎รับหลํอหลอมไปแล๎วร๎อยละ 75 ถ๎าจะ

Page 54: บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมit.nation.ac.th/studentresearch/files/570363100612.pdfทฤษฏ พ ฒนาการทางสต ป ญญาของเพ

61

นับแตํผลสัมพันธ๑ทาง การศึกษา เมื่อเด็กอายุได๎ 4 ปี สติปัญญาของเด็กมากกวําร๎อยละ 3 จะเห็นได๎ในระยะ 6 ปีแรกของ ชีวิตเด็กนั้นมีความสาคัญตํอการพัฒนาสติปัญญาและบุคลิกภาพเป็นอยํางยิ่ง พํอแมํ ผู๎ปกครอง จึงควร เอาใจใสํสํงเสริมให๎เด็กได๎เรียนรู๎ตามความสามารถ ไมํควรรอเข๎าโรงเรียนเสียกํอนจึงเริ่มเรียน จากการศึกษาและงานวิจัยที่เกี่ยวข๎องพบวํา การจัดการศึกษาระดับกํอนประถมศึกษานั้นเป็น เรื่องของการเตรียมความพร๎อมเพ่ือสํงเสริมพัฒนาการด๎านรํางกาย อารมณ๑ จิตใจ สังคม และสติปัญญา โดยโรงเรียนจะต๎องจัดการศึกษามุํงเน๎นในเรื่อง การจัดประสบการณ๑และกิจกรรมการเรียนการสอน ครู ผู๎สอน สื่อการเรียนการสอนจัดสภาพแวดล๎อม การอ านวยความสะดวกและบริการอ่ืนๆ และการประเมิน- ผล ในขณะเดียวกันโรงเรียนจะต๎องศึกษาความคาดหวังในการจัดการศึกษาของผู๎ปกครองวําจะเป็นไป ในทิศทางใดเพ่ือน ามาใช๎เป็นข๎อมูลในการบริหารและจัดการและจัดการศึกษาโรงเรียนให๎ตั้งอยูํบน ความต๎องการของผู๎ปกครองและอยูํบนพ้ืนฐานระดับการศึกษาที่ถูกต๎องและเกิดประโยชน๑สูงสุ แกํนักเรียน