บทที่ 2 จำนวนจริง (The Real Numbers)
description
Transcript of บทที่ 2 จำนวนจริง (The Real Numbers)
22. สมบติัความบรบูิรณ์ของเซตของจำานวนจรงิ
(The Completeness Property of )
บทนิยาม 2.2.1 ให ้A 1. สำ�หรบั u และ a u ทกุๆ a
A จะเรยีก u ว�่เป็น ขอบเขตบน (upper bound) ของเซต A และเรยีก A ว�่ เซตท่ีมีขอบเขตบน (bounded above)
2. สำ�หรบั l และ a l ทกุๆ a A จะเรยีก l ว�่เป็น ขอบเขตล่าง (lower bound) ของเซต A และเรยีก A ว�่ เซตท่ีมีขอบเขตล่าง (bounded below)
3. จะเรยีกเซต A ว�่ เซตท่ีมขีอบเขต (bounded) ถ้� A เป็นเซตที่มทัีง้ขอบเขตบน และขอบเขตล่�ง
ตัวอยา่ง 1 กำ�หนด A = { 1, , , ... }21 31 ให ้ a A เหน็ชดัว�่ a 1 , a A A เป็นเซตท่ีมขีอบเขตบน โดยมจีำ�นวนจรงิท่ีมี
ค่�ม�กกว�่ หรอืเท่�กับ 1 เป็นขอบเขตบนของเซต A
และ a 0 , a A A เป็นเซตท่ีมขีอบเขตล่�ง โดยมจีำ�นวนจรงิที่มี
ค่�น้อยกว�่หรอืเท่�กับ 0 เป็นขอบเขตล่�งของเซต A
ดังนัน้ A เป็นเซตที่มขีอบเขต
บทนิยาม 2.2.2 A เป็นเซตยอ่ยของ 1. ถ้� A เป็นเซตที่มขีอบเขตบน จะเรยีก v ว�่เป็น
ขอบเขตบนน้อยสดุ (leastupper bound or supremum) ของ A เมื่อ (i) v เป็นขอบเขตบนของ A (ii) ถ้� u เป็นขอบเขตบนของ A แล้ว v u ถ้� v เป็นขอบเขตบนท่ีน้อยที่สดุของ A เขยีนแทน
ด้วย l.u.b. A = v หรอื sup A = v
2 .ถ้� A เป็นเซตที่มขีอบเขตล่�ง จะเรยีก w ว�่เป็น ขอบเขตล่างมากสดุ (greatest lower bound or infimum)
ของ A เมื่อ (i) w เป็นขอบเขตล่�งของ A (ii) ถ้� l เป็นขอบเขตล่�งของ A แล้ว w
l ถ้� w เป็นขอบเขตล่�งท่ีม�กท่ีสดุของ A เขยีน
แทนด้วย g.l.b. A = w หรอื inf A = w
ตัวอยา่ง 3 ให ้ A = { x | 0 x 1 }
สำ�หรบั x A แล้ว x 1, 1 เป็นขอบเขตบนของ A และถ้� r เป็นขอบเขตบนของ A จะได้ว�่ 1 r ดังนัน้ l.u.b. A = 1
สำ�หรบั x A แล้ว x 0, 0 เป็นขอบเขตล่�งของ A และถ้� w เป็นขอบเขตล่�งของ A จะได้ว�่ w 0 ดังนัน้ g.l.b. A = 0
ตัวอยา่ง 4 กำ�หนด A = [ -2, 10 ] A เป็นเซตที่มขีอบเขต และ l.u.b. A = 10,
g.l.b. A = -2
nn2
12
21 43 87ตัวอยา่ง 5 กำ�หนด A = { n = 1, 2, 3, … } จะได้ A = { , , ,...}
A เป็นเซตที่มขีอบเขต และ l.u.b. A = 1, g.l.b. A = 21
หมายเหต ุ 1. ขอบเขตบนน้อยสดุไมจ่ำ�เป็นจะต้องเป็นสม�ชกิของเซตนัน้ 2. ขอบเขตล่�งม�กสดุไมจ่ำ�เป็นจะต้องเป็นสม�ชกิของเซตนัน้
บทต้ัง 2.2.3 ให ้ S โดยที่ S ถ้� u เป็นขอบเขตบนของ S, u เป็นขอบเขตบนน้อยสดุของ S ก็ต่อเมื่อ สำ�หรบัจำ�นวนจรงิ > 0 จะม ี s S ซึ่ง u – < s
การพสิจูน์ ให ้ u เป็นขอบเขตบนของ S ท่ีสอดคล้อง
กับเง่ือนไขที่ว�่ สำ�หรบัจำ�นวนจรงิ > 0 จะม ีs S ซึ่ง
u – < s จะแสดงว�่ u เป็นขอบเขตบนน้อยสดุของ S
ให ้ v เป็นขอบเขตบนของ S ซึ่ง v u
สมมติ v < u ดังนัน้ u – v > 0เลือก = u – v
จะม ี s S ซึ่ง v = u – < s ซึ่งเป็นไปไมไ่ด้ เพร�ะขดัแยง้กับที่ v เป็นขอบเขตบนของ S
ดังนัน้ u < v นัน่คือ u เป็นขอบเขตบนน้อยสดุ
ในท�งกลับกัน ใหจ้ำ�นวนจรงิ > 0 และ u = l.u.b. S
เนื่องจ�ก u – < u แล้ว u – ไมใ่ช่ขอบเขตบนของ S
จงึม ี s S ซึ่ง u – < s
สมบติัขอบเขตบนน้อยสดุของ สจัพจน์การมขีอบเขตบนน้อยสดุ (Least Upper Bound Axiom)
กำ�หนดให ้ A เป็นเซตยอ่ยที่ไมเ่ป็นเซตว่�งของเซตจำ�นวนจรงิ และ A มขีอบเขตบน แล้ว A จะมขีอบเขตบนน้อยสดุใน
ทฤษฎีบท 2.2.4 ถ้� A เป็นเซตยอ่ยของ เซตจำ�นวนจรงิ ท่ีมขีอบเขตล่�ง และ A ไมเ่ป็นเซตว�่ง แล้วเซต A จะมขีอบเขตล่�งม�กสดุใน
การพสิจูน์ ให ้ S = { s | s เป็นขอบเขตล่�งของ
A } เนื่องจ�กเซต A มขีอบเขตล่�ง ดังนัน้ S สำ�หรบั x A, x s s S ดังนัน้ x
เป็นขอบเขตบนของ S S เป็นเซตมขีอบเขตบน
ให ้ a = l.u.b. S ดังนัน้ a x ทกุ x A จงึได้ว�่ a เป็นขอบเขตล่�งตัวหนึ่งของเซต A และ s a, s S
นัน่คือ a เป็นขอบเขตล่�งม�กสดุของ A
ทฤษฎีบท 2.2.5 สมบติัอารคี์มเีดียน (Archimedean Property)
การพสิจูน์ ให ้ x สมมติ x n สำ�หรบัทกุ n ทำ�ให ้ x เป็นขอบเขตบนของ และ เซต จงึมขีอบเขตบนน้อยสดุ ให ้ u = l.u.b. จ�กบทตัง้ 2.2.3 จะม ี m ซึ่ง u – 1 < m u < m + 1 แต่ m + 1 เกิดก�รขดัแยง้ท่ี
u = l.u.b. นัน่คือจะม ี n ซึ่ง x < n
ถ้� x แล้วจะมจีำ�นวนเต็มบวก n ซึ่ง x < n
บทแทรก 2.2.7 ให ้ y และ z เป็นจำ�นวนจรงิบวก จะได้ว�่
(1) จะม ี n ซึ่ง z < ny (2) จะม ี n ซึ่ง 0 < < y
(3) จะม ี n ซึ่ง n – 1 z < nn1
การพสิจูน์ ให ้ y, z +
(1) เนื่องจ�ก > 0 จะม ี n ซึ่ง < n ดังนัน้ z < yn
yz yz
(2) จ�ก (1) z < yn ให ้ z = 1 จะได้ว�่ 1 < ny ดังนัน้ 0 < < yn1
(3) พจิ�รณ�เซต { m | z < m } จ�กสมบติัของอ�รคี์มเิดียนจะได้ว�่เซตนี้ไมเ่ป็นเซตว�่ง
ให ้ n เป็นสม�ชกิที่น้อยที่สดุในเซตน้ี
ดังนัน้ n – 1 z < n
ทฤษฎีบท 2.2.8 มจีำ�นวนจรงิบวก x ซึ่ง x2 = 2
สมบติัความหนาแน่นของจำานวนตรรกยะใน ทฤษฎีบท 2.2.9 The Density
Theorem ถ้� x และ y เป็นจำ�นวนจรงิใดๆ โดยท่ี x
< y แล้วจะมจีำ�นวนตรรกยะ r ซึ่ง x < r < y
บทแทรก 2.2.10 ถ้� x และ y เป็นจำ�นวนจรงิใดๆซึ่ง x < y แล้วจะมีจำ�นวนอตรรกยะ r ซึ่ง x < r< y
ชว่ง (Intervals) เซตยอ่ยของจำ�นวนจรงิในลักษณะต่อไปนี้เรยีกว�่ ชว่งถ้� a, b และ a < b(1) ชว่งเปิด ( a, b ) = { x | a
< x < b }(2) ชว่งปิด [ a, b ] = { x | a
x b }(3) ชว่งครึง่เปิด (หรอืครึง่ปิด) ( a, b ] = { x | a
< x b } [ a, b ) = { x | a
x < b } ชว่ง (1) – (3) เป็นชว่งที่มี
ขอบเขต (bounded intervals) มคีว�มย�วชว่งจำ�กัด
คว�มย�วชว่งคือ | a – b |
(4) ชว่งอนันต์ ( a, ) = { x | x > a
} ( –, a ) = { x | x <
a } [ a, ) = { x | x a
} ( –, a ] = { x | x
a } ( –, ) = ชว่ง (4) เป็นชว่งท่ีไมม่ขีอบเขต
(unbounded intervals)หมายเหต ุ (1) สญัลักษณ์ และ – ไม่
ส�ม�รถบอกเป็นค่�จำ�กัดได้ว�่มค่ี�เท่�ใดสว่นจำ�นวนจรงิทกุจำ�นวนเป็นจำ�นวนจำ�กัด , – จงึไมใ่ชจ่ำ�นวนจรงิ
(2) สำ�หรบั a , ( a, a ) = และ [ a, a ] = { a }
23. ทอพอโลยบีนเซตจำานวนจรงิ บทนิยาม 2.3.1 ให ้ x0 จะเรยีกเซต ว�่ ยา่นของจุด x0 (neighborhood of x0) เมื่อมจีำ�นวนจรงิบวก ซึ่ง ( x0 – , x0 + ) ย�่นของจุด x0 เขยีนแทนด้วย ( x0 )บทนิยาม 2.3.2 ใหเ้ซต G เป็นเซตยอ่ยของ จะเรยีก G ว�่ เซตเปิด (open set) ใน ถ้�แต่ละ x G จะมยี�่นของจุด x ท่ี ( x ) G
จงึกล่�วได้ว�่เซต G เป็นเซตเปิด ก็ต่อเมื่อส�ม�รถแสดงได้ว�่ทกุๆx G จะม ี x > 0 ซึ่ง ( x – x, x + x ) G
ทฤษฎีบท 2.3.3 (1) เป็นเซตเปิด (2) เป็นเซตเปิดการพสิจูน์
(1) ให ้ x , n ซึ่ง x < n ให ้ x = | n – x | ซึ่ง ( x – x, x +
x ) นัน่คือ เป็นเซตเปิด
(2) จะแสดงว�่ เป็นเซตเปิด นัน่คือ “ ถ้� x แล้วจะม ี x > 0 ซึ่ง ( x – x, x + x ) ” แต่เนื่องจ�กขอ้คว�มดังกล่�วมค่ี�คว�มจรงิ เป็นจรงิ ดังนัน้ เป็นเซตเปิด
ตัวอยา่ง 2 (1) ( 0, 1 ) เป็นเซตเปิดใน เนื่องจ�กทกุ x ( 0, 1 ) x > 0 ซึ่ง ( x – x, x + x ) ( 0,1 ) (2) [ 0, 1 ] ไมเ่ป็นเซตเปิดใน เพร�ะว�่ม ี 0 [ 0, 1 ] ท่ีไม่ส�ม�รถห� > 0 ซึ่ง ( –, ) [ 0, 1 ] (3) { 1, 2, 3 } ไมเ่ป็นเซตเปิดใน
บทนิยาม 2.3.4 ใหเ้ซต F เป็นเซตยอ่ยของ จะเรยีก F ว�่เป็น เซตปิด (closedset) ใน เมื่อ FC เป็นเซตเปิดใน
จงึกล่�วได้ว�่เซต F เป็นเซตปิด ก็ต่อเมื่อแต่ละ x FC จะม ี x > 0 ซึ่ง ( x – x, x + x ) F = หรอื ( x – x, x + x ) FC ทฤษฎีบท 2.3.5 (1) เป็นเซตปิด
(2) เป็นเซตปิด
ทฤษฎีบท 2.3.6 ยูเนียนของเซตเปิดใดๆ เป็นเซตเปิดการพสิจูน์
ให ้ { G | G เป็นเซตเปิด และ , โดยที่ เป็นเซตดรรชนี }
จะแสดงว�่ เป็นเซตเปิด
ถ้� = แล้วโดยทฤษฎีบท 2.3.3(2) จะได้ เป็นเซตเปิด
ถ้�
ให ้x จะได้ว�่ x G
G
G
G
G
G
เนื่องจ�ก G เป็นเซตเปิด จะม ี > 0 ซึ่ง x ( x – , x + ) G
นัน้คือ เป็นเซตเปิด
G
G
ทฤษฎีบท 2.3.7 อินเตอรเ์ซกชนัอย�่งจำ�กัดของเซตเปิดเป็นเซตเปิด
การพสิจูน์ ให ้ G1, G2, G3, …, Gn เป็นเซตเปิด จะแสดงว�่เป็นเซตเปิด
ถ้� = แล้วโดยทฤษฎีบท 2.3.3(2) จะได้ เป็นเซตเปิด
ถ้� =
ให ้ x ยอ่มได้ว�่ x G1 , และ x G2,
และ x G3, …, และ x Gn
n
1i iG
n
1i iG
n
1i iG
n
1i iG
n
1i iG
x G1 1 > 0 ซึ่ง ( x – 1, x + 1 ) G1
x G2 2 > 0 ซึ่ง ( x – 2, x + 2 ) G2
………………………………………….
x Gn n > 0 ซึ่ง ( x – n, x + n ) Gn
ให ้ = min { 1, 2, 3, …, n }ทำ�ให ้ ( x – , x + ) Gi i = 1, 2,
3, …, n
ดังนัน้ ( x - , x + )
นัน้คือ เป็นเซตเปิด
n
1i iG
n
1i iG
ทฤษฎีบท 2.3.8 อินเตอรเ์ซกชนัใดๆของเซตปิดเป็นเซตปิดการพสิจูน์ ให ้ { F | F เป็นเซตปิด, }
จแสดงว�่ เป็นเซตเปิด
เนื่องจ�ก ( )C = ซึ่ง , เป็นเซตเปิด
จ�กทฤษฎีบท 236. . เป็นเซตเปิด
นัน้คือ เป็นเซตปิด
F
F
CF CF
CF
F
บทแทรก 2.3.9 ยูเนียนอย�่งจำ�กัดของเซตปิดเป็นเซตปิดตัวอยา่ง 4 กำ�หนด Gn = ( 1, 2 + ) , n
Gn เป็นเซตเปิด , n
พจิ�รณ�
จะได้ว�่ = ( 1, 2 ] ซึ่งไมเ่ป็นเซตปิด
n1
1n nG
1n nG
ตัวอยา่ง 5 กำ�หนด Fn = ( 1, 2 - ) , n
Fn เป็นเซตเปิด , n
พจิ�รณ�
จะได้ว�่ = [ 0, 1 ) ซึ่งไมเ่ป็นเซตปิด
n1
1n nF
1n nF
บทนิยาม 2.3.10 ให ้A และ x A จะเรยีก x ว�่เป็น จุดภายใน (interiorpoint) ของ A ถ้�มยี�่นของจุด x เป็นเซตยอ่ยของ Aบทนิยาม 2.3.11 ให ้ A และ x จะเรยีก x ว�่เป็น จุดลิมติ (cluster points or limit points) ของ A ถ้�ทกุๆย�่นของจุด x บรรจุสม�ชกิของเซต A ท่ีไมใ่ช ่ x
นัน่คือ x เป็นจุดลิมติของ A เมื่อแต่ละ > 0 , (x) ( A – { x } )
ทฤษฎีบท 2.3.12 เซตยอ่ยของเซตของจำ�นวนจรงิ ท่ีไมใ่ชเ่ซตว�่ง เป็นเซตปิดก็ต่อเมื่อเซตนัน้บรรจุทกุๆจุดลิมติของเซตการพสิจูน์ ให ้ F เป็นเซตปิด F และ x เป็นจุดลิมติ
ของ F จะแสดงว�่ x F สมมติ x F ดังนัน้ x FC
เนื่องจ�ก FC เป็นเซตเปิด จงึมยี�่นของจุด x, (x) ซึ่ง (x) FC
ดังนัน้ (x) F = เกิดก�รขดัแยง้ ที่ว�่ x เป็นจุดลิมติของ
F ดังนัน้ xF
ในท�งกลับกัน ให ้ F ท่ีบรรจุทกุๆจุดลิมติของ F จะแสดงว�่ F เป็นเซตปิด
ให ้ y FC ดังนัน้ y จงึไมเ่ป็นจุดลิมติของ F ทำ�ใหม้ยี�่นของ
y , (y) ซึ่ง (y) ( F – { y } ) = แต่ y FC, (y) F =
(y) FC
ทำ�ให ้ FC เป็นเซตเปิด ดังนัน้ F เป็นเซตปิด
บทนิยาม 2.3.13 ชว่งซอ้นใน (Nested Intervals)
ลำ�ดับของชว่ง In, n จะเรยีกว�่เป็นชว่งซอ้นใน (nested) ดังรูป ถ้� I1 I2 I3 … In In+1 …
I5I4
I3
I2
I1
[ [ [ [ [ ] ] ] ] ]
ทฤษฎีบท 2.3.14 สมบติัของชว่งซอ้นใน (Nested Intervals Property)ถ้� In = [ an, bn ] , n เป็นชว่ง
ซอ้นในท่ี In เป็นชว่งปิดทกุๆ n แล้วจะมจีำ�นวนจรงิ x0 ซึ่ง x0 In สำ�หรบัทกุ n
และถ้� g.l.b. { bn – an In = [ an, bn ] , n } = 0 แล้ว In , n จะมีสม�ชกิรว่มเพยีงตัวเดียว
ทฤษฎีบท 2.3.15 ทฤษฎีโบลซาโน–ไวแยรส์ตราสส์ (Balzano–Weierstrass Theorem) ทกุเซตยอ่ยของเซตของจำ�นวนจรงิ ท่ีเป็นเซตอนันต์และมขีอบเขต จะต้องมจุีดลิมติ