Week 3 of TTFL
-
Upload
watcharapol-wiboolyasarin -
Category
Education
-
view
910 -
download
1
description
Transcript of Week 3 of TTFL
แนวคิดและระเบียบวิธีสอนภาษาต่างประเทศ อ.ดร.วัชรพล วิบูลยศริน
แนวคิดทางภาษา
แนวคิดทางภาษา
แนวคิดทางภาษา
จิตวิทยา
วัฒนธรรม
สังคม
แนวคิดทางภาษา: วัฒนธรรม
“ภาษาไม่ได้แยกตัวออกจากวัฒนธรรม แต่มาจากการรวบรวมสืบทอดต่อกันมาทางสังคมของสิ่งที่ปฏิบัติเป็นกิจวัตรกับความเชื่อที่ก าหนด
โครงสร้างชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมนั้น”
(Sapir, 1921)
แนวคิดทางภาษา: วัฒนธรรม ในการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศจะต้องพยายามไม่น าเอา
มุมมองทางวัฒนธรรมของตนเข้ามาเกี่ยวข้อง
ผู้ เรียนภาษาต้องน าตนเองเข้าไปอยู่ ในวัฒนธรรมของภาษาเป้าหมาย
ยิ่งเราทราบสภาพวัฒนธรรมของสังคมนั้น ๆ มากเท่าใด เราก็ยิ่งส่ือสารได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น
แนวคิดทางภาษา: สังคม
“การใช้ภาษาให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์เป็นการสร้างประโยคที่แสดงความสามารถของผู้พูด แต่การใช้ภาษาให้เหมาะสมกับสังคมเป็นการ
สร้างการยอมรับของผู้คนในสังคมเจ้าของภาษา”
(Gumperz, 1964)
แนวคิดทางภาษา: สังคม สิ่งท่ีความจ าเป็นต่อการสื่อสาร ได้แก่ บริบท คู่สนทนา หัวข้อ
วัตถุประสงค์ และรูปแบบของการสื่อสาร
การเรียนรู้การใช้ภาษาทางสังคมเป็นส่ิงท่ีจ าเป็นน้อยมาก
เพศและอายุของคู่สนทนาในสถานการณ์การสื่อสารก็เป็นอีกปัจจัยท่ีส่งผลต่อเนื้อหาทางภาษา
แนวคิดทางภาษา: จิตวิทยา
“การสอนภาษาภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศเพ่ือประโยชน์ในการสื่อสารควรเป็นการสอนตามสภาพจริง”
(วัชรพล วิบูลยศริน, 2556)
แนวคิดทางภาษา: จิตวิทยา
Individual differences
Motive
Practice
Knowledge Feedback
Teaching method
Directed experience
ระเบียบวิธีสอนภาษาต่างประเทศ วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปล
วิธีสอนแบบตรง
วิธีสอนแบบฟัง-พูด
วิธีสอนแบบเงียบ
วิธีสอนแบบการตอบสนองด้วยท่าทาง
วิธีสอนแบบชักชวน
วิธีสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์
วิธีสอนตามทฤษฎีการเรียนแบบความรู้ความเข้าใจ
วิธีสอนตามแนวการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสาร
1.วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปล (The Grammar-Translation Method)
วัตถุประสงค ์
เพ่ือให้ผู้ เรียนมีความสามารถในการอ่านและเห็นคุณค่าของบทประพันธ์ภาษาต่างประเทศ
1.วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปล (The Grammar-Translation Method)
ความเชื่อ
การเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาเป้าหมายจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจไวยากรณ์ของภาษาตนเองมากข้ึน
1.วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปล (The Grammar-Translation Method)
แนวคิดพ้ืนฐาน
ภาษามีกฎเกณฑ์ มีระบบ มีระเบียบ
การเรียนภาษา = การเรียนรู้ระบบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของภาษา
ถ้าผู้เรียนเรียนรู้กฎไวยากรณ์และความหมายของค าศัพท์ต่าง ๆ แล้ว ก็จะเข้าใจข้อความต่าง ๆ ในภาษาเป้าหมาย และใช้ภาษาได้
1.วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปล (The Grammar-Translation Method)
ลักษณะส าคัญ
เน้นทักษะการอ่านและการเขียน
ใช้วิธีการท่องจ ากฎเกณฑ์และค าศัพท์ ตลอดจนค าแปล
ผู้สอนเป็นผู้ด าเนินการเรียนการสอน ควบคุมชั้นและให้ความรู้
ผู้เรียนท าตามค าบอกของผู้สอน
เน้นการเรียนรู้ระบบภาษามากกว่าการใช้ภาษาแบบเจ้าของภาษา
1.วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปล (The Grammar-Translation Method)
ขั้นตอนการสอน 1. สอนค าศัพท์ (บอกค าแปลเป็นภาษาของผู้เรียน และให้ตัวอย่างประโยคที่มีค าศัพท์นั้น)
2. สอนโครงสร้าง
3. สอนอ่าน
4. ประเมินผล (ให้ผู้เรียนท าการบ้าน แบบฝึกหัด ท่องจ าค าศัพท์)
1.วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปล (The Grammar-Translation Method)
กลวิธีการสอน 1. การแปลบทประพันธ์
2. การตอบค าถามเก่ียวกับเรื่องที่อ่าน
3. การหาค าตรงกันข้ามและค าที่มีความหมายเหมือนกัน
4. การเติมค าในช่องว่าง
5. การท่องจ า
6. การประยุกต์ใช้กฎโดยสรุป
7. การฝึกแต่งประโยค
8. การเขียนเรียงความ
1.วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปล (The Grammar-Translation Method)
ข้อดี 1. สอนกับเด็กกลุ่มใหญ่ได้
2. เหมาะกับผู้ใหญ่ หรือเด็กเก่ง
3. เข้าใจความหมายของค าศัพท์และเนื้อเรื่องได้เร็ว
4. ประเมินผลได้ง่าย
1.วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปล (The Grammar-Translation Method)
ข้อเสีย 1. ไม่เน้นทักษะการพูดและการออกเสียง
2. ไม่สอดคล้องกับภาษาท่ีใช้ในชีวิต
3. เด็กท่ีไม่เก่งจะเกิดความเบื่อหน่าย
4. มีโอกาสใช้ภาษาน้อย
5. ต้องมีความรู้ 2 ภาษาเป็นอย่างดี
2.วิธีสอนแบบตรง (The Direct Method)
วัตถุประสงค ์
เพ่ือให้ผู้เรียนใช้ภาษาเพ่ือสื่อสารได้ในสถานการณ์จริง
2.วิธีสอนแบบตรง (The Direct Method)
ความเชื่อ
การเรียนรู้ความหมายต่าง ๆ เรียนด้วยวิธีเชื่อมโยงโดยตรงกับภาษาที่เรียน โดยไม่ผ่านกระบวนการแปลเป็นภาษาเป็นผู้เรียน
2.วิธีสอนแบบตรง (The Direct Method)
แนวคิดพ้ืนฐาน
ภาษาคือ ภาษาพูด การเรียนภาษาคือ การให้ผู้เรียนได้สื่อสารด้วยภาษาที่เรียนนั้น และเพ่ือให้ประสบความส าเร็จยิ่งขึ้น ควรให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยวิธีการที่จะคิดเป็นภาษาท่ีเรียนด้วย
2.วิธีสอนแบบตรง (The Direct Method)
ลักษณะส าคัญ บทใหญ่ประกอบด้วยกิจกรรมการสนทนา
ผู้เรียนใช้ภาษาในสถานการณ์จริง
ไม่มีการใช้ภาษาของผู้เรียน
ไม่เน้นการสอนกฎไวยากรณ์
ให้เรียนรู้จากตัวอย่างและสรุปเป็นกฎด้วยตนเอง
2.วิธีสอนแบบตรง (The Direct Method)
ขั้นตอนการสอน ให้ผู้เรียนฟังหรืออ่านข้อความในบทเรียน
อธิบายค าศัพท์และส านวนที่ยาก
ฝึกการออกเสียงค าให้ถูกต้อง
ถามค าถามเก่ียวกับเนื้อเรื่องที่อ่านหรือฟัง
ดึงกฎไวยากรณ์จากเรื่องมาฝึกเพ่ิมเติม
ให้ผู้เรียนท าแบบฝึกหัด
2.วิธีสอนแบบตรง (The Direct Method)
กลวิธีการสอน 1. การอ่านออกเสียง
2. การฝึกหัดตั้งค าถามและตอบ
3. การแก้ไขข้อผิดด้วยตนเอง
4. การฝึกสนทนา
5. การฝึกเติมค าในช่องว่าง
6. การเขียนตามค าบอก
7. การวาดแผนภาพ
8. การเขียนข้อความสั้น ๆ 1 ย่อหน้า
2.วิธีสอนแบบตรง (The Direct Method)
ข้อดี 1. ถ้าฝึกนาน ๆ ผู้เรียนจะใช้ภาษาเพ่ือสื่อความหมายได้
2. ได้เรียนรู้ภาษาแบบเดียวกับการเรียนรู้ภาษาของตนเอง
3. ได้ร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยตนเอง ไม่เบื่อหน่าย
2.วิธีสอนแบบตรง (The Direct Method)
ข้อเสีย 1. ผู้สอนต้องมีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาของผู้เรียน
2. การอธิบายนามธรรมอาจเสียเวลา และผู้เรียนเข้าใจผิด
3. ผู้เรียนอาจสรุปกฎไวยากรณ์ผิดพลาด
4. หากมีผู้เรียนในชั้นเรียนจ านวนมาก อาจดูแลได้ไม่ท่ัวถึง
3.วิธีสอนแบบฟัง-พูด (The Audio-lingual Method)
วัตถุประสงค ์
เพ่ือให้ผู้เรียนใช้ภาษาโดยใช้ภาษาต่างประเทศที่เรียน โดยฝึกภาษาซ้ า ๆ จนเกิดเป็นนิสัย
3.วิธีสอนแบบฟัง-พูด (The Audio-lingual Method)
แนวคิดพ้ืนฐาน
ภาษาคือ ภาษาพูด การสอนภาษาจึงควรเริ่มจากการฟัง-พูด อันเป็นพ้ืนฐานไปสู่การอ่านและการเขียน
3.วิธีสอนแบบฟัง-พูด (The Audio-lingual Method)
ลักษณะส าคัญ ผู้สอนต้องแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษาท่ีเรียน
ผู้เรียนเลียนแบบและปฏิบัติตามผู้สอน
เน้นภาษาท่ีใช้พูดในชีวิตประจ าวัน
เรียนรู้กฎจากตัวอย่าง ไม่เน้นข้อมูลทางวัฒนธรรม
ฝึกออกเสียงแต่เริ่มแรก และฝึกฟังในห้องปฏิบัติการทางภาษา
3.วิธีสอนแบบฟัง-พูด (The Audio-lingual Method)
ขั้นตอนการสอน ให้ผู้เรียนฟังบทสนทนาใหม่ท่ีน ามาให้อ่านให้ฟัง หรือฟังจากเทป
ผู้เรียนพูดตามทีละบรรทัด หลาย ๆ รอบ
น าประโยคท่ีเป็นปัญหามาฝึกเป็นพิเศษ
ฝึกโต้ตอบบทสนทนากันทั้งห้อง เป็นกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อย และทีละคน
ฝึกโต้ตอบบทสนทนาโดยดัดแปลงให้กับเหตุการณ์ของผู้เรียน
3.วิธีสอนแบบฟัง-พูด (The Audio-lingual Method)
กลวิธีการสอน 1. การท่องจ าบทสนทนา 8. การฝึกแทนค าในช่องว่าง
2. การฝึกแบบเพ่ิมส่วนของประโยค 9. การฝึกเปลี่ยนรูปประโยค
3. การฝึกพูดซ้ า 10. การฝึกถามตอบ
4. การฝึกแบบลูกโซ่
5. การใช้คู่เทียบเสียง
6. การเติมบทสนทนา
7. การเล่นเกมไวยากรณ์
3.วิธีสอนแบบฟัง-พูด (The Audio-lingual Method)
ข้อดี ฝึกการพัฒนาทักษะ 4 ด้าน ตลอดจนองค์ประกอบของภาษา
เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน เน้นปฏิบัติ
ใช้ภาษาตามสภาพจริง
ไม่เน้นสติปัญญาหรือเหตุผลมาก เหมาะกับเด็กเล็ก
เอาใจใส่ผู้เรียนทีละคนได้มากขึ้น
3.วิธีสอนแบบฟัง-พูด (The Audio-lingual Method)
ข้อเสีย การเลียนแบบไม่ท าให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายได้
การฝึกซ้ า ๆ ท าให้เบื่อหน่าย โดยเฉพาะเด็กเก่ง และผู้ใหญ่
การแบ่งเนื้อหาเป็นส่วนย่อยอาจท าให้ผู้เรียนน าไปบูรณาการไม่ได้
เน้นหลักการวางเงื่อนไข เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ผู้เรียนไม่อาจปรับใช้ได้ ขาดแรงจูงใจ
ผู้สอนต้องมีความกระตือรือร้นและมีประสิทธิภาพสูง รู้จักเตรียมสื่อ
4.วิธีสอนตามทฤษฎีการเรียนแบบความความรู้ความเข้าใจ (The Cognitive Code Learning)
วัตถุประสงค ์
เพ่ือให้ผู้เรียนได้รู้ระบบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของภาษาที่เรียนก่อนน าไปประยุกต์ใช้
4.วิธีสอนตามทฤษฎีการเรียนแบบความความรู้ความเข้าใจ (The Cognitive Code Learning)
แนวคิดพ้ืนฐาน ภาษาเป็นระบบตามกฎเกณฑ์ ความเข้าใจและการแสดงออกทาง
ภาษาข้ึนอยู่กับความเข้าใจกฎเกณฑ์
เมื่อผู้เรียนเข้าใจรูปแบบของภาษาและความหมายแล้วก็จะสามารถใช้ภาษาได้
4.วิธีสอนตามทฤษฎีการเรียนแบบความความรู้ความเข้าใจ (The Cognitive Code Learning)
ลักษณะส าคัญ สิ่งที่น ามาให้ผู้เรียนเรียนจะต้องมีความหมาย
ควรจัดล าดับความยากง่ายเพ่ือช่วยให้การพัฒนาทักษะทางภาษา
เน้นให้เรียนรู้และเข้าใจระบบภาษาให้มากที่สุด
เน้นให้ผู้เรียนเข้าใจภาษาก่อนการแสดงออกทางภาษา
มุ่งกระบวนการสร้างความเข้าใจภาษาที่เรียนและเน้นทักษะ 4 ด้าน
4.วิธีสอนตามทฤษฎีการเรียนแบบความความรู้ความเข้าใจ (The Cognitive Code Learning)
ขั้นตอนการสอน ให้ผู้เรียนอ่านข้อความหรือบทสนทนา
ให้ผู้เรียนท าแบบฝึก โครงสร้าง
ให้ผู้เรียนฝึกสนทนาโต้ตอบ
จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ฝึกใช้ภาษาเพ่ิมเติม
4.วิธีสอนตามทฤษฎีการเรียนแบบความความรู้ความเข้าใจ (The Cognitive Code Learning)
กลวิธีการสอน 1. การเขียนรูปประโยคใหม่
2. การเรียบเรียงประโยคและข้อความที่ยังไม่ได้เขียนให้เชื่อมโยงถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
3. การเขียนอธิบายเหตุการณ์จากภาพ
4. การเตรียมบทสนทนามาพูดหน้าชั้น
5. การเติมค าในช่องว่างในประโยค
6. การให้ขยายความหรือตีความหัวข้อข่าว
4.วิธีสอนตามทฤษฎีการเรียนแบบความความรู้ความเข้าใจ (The Cognitive Code Learning)
ข้อดี มุ่งให้ผู้เรียนได้ใช้สติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์
เป็นการฝึกหัดสิ่งที่มีความหมาย
เป็นการพัฒนาทักษะ 4 ด้านพร้อมกัน
4.วิธีสอนตามทฤษฎีการเรียนแบบความความรู้ความเข้าใจ (The Cognitive Code Learning)
ข้อเสีย ผู้สอนต้องเตรียมการและสร้างแวดล้อมที่ดี
จะใช้ได้ผลดีกับเด็กเก่งมากกว่าเด็กอ่อน
5.วิธีสอนแบบเงียบ (The Silent Method)
วัตถุประสงค ์
เพ่ือให้ผู้เรียนใช้ความสามารถที่จะใช้ภาษาด้วยตนเอง
5.วิธีสอนแบบเงียบ (The Silent Method)
แนวคิดพ้ืนฐาน
การเรียนรู้ภาษาเกิดจากความคิดหรือพลังสมองของผู้ เรียนเอง ผู้เรียนจะค้นพบกฎเกณฑ์ทางภาษาจากการทดลองพูด ผู้สอนจึงควรมีบทบาทการพูดน้อยที่สุด
5.วิธีสอนแบบเงียบ (The Silent Method)
ลักษณะส าคัญ ผู้สอนช่วยเท่าที่จ าเป็น
ผู้เรียนพยายามน าสิ่งที่รู้มาใช้ประโยชน์และจดจ่อกับบทเรียนตลอด
ควรเรียนเสียงเป็นอันดับแรก เพราะเป็นพ้ืนฐานส าคัญของภาษา
สร้างสถานการณ์ท่ีจะดึงความสนใจของผู้เรียนไปยังโครงสร้างภาษา
ใช้ข้อผิดพลาดของผู้เรียนเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าตอนใดไม่ถูกต้อง
5.วิธีสอนแบบเงียบ (The Silent Method)
ขั้นตอนการสอน สอนการออกเสียง สระ และพยัญชนะต่าง ๆ โดยใช้แผนภูมิ เสียง
สอนการออกเสียงค าต่าง ๆ
สอนรูปประโยคต่าง ๆ โดยน าค ามารวมกัน
ฝึกอ่านประโยคต่าง ๆ ที่ผู้เรียนสร้างข้ึน
ฝึกเขียนประโยคที่เรียนมาแล้ว
5.วิธีสอนแบบเงียบ (The Silent Method)
กลวิธีการสอน (และอปุกรณ)์ 1. แผนภูมิเสียง-สี/แผนภูมิค า/แผนภูมิฟิเดล (Fidel)
2. การนิ่งของผู้สอน
3. การช่วยกันแก้ไขข้อผิดพลาด
4. แท่งสี
5. ลักษณะท่าทีของการแก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตนเอง
6. ผลสะท้อนกลับทางโครงสร้าง
5.วิธีสอนแบบเงียบ (The Silent Method)
ข้อดี ได้คิดและใช้ภาษาอย่างเต็มที่ ผู้สอนเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือ
ร่วมกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา
ผู้สอนมีเวลาและโอกาสสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน
5.วิธีสอนแบบเงียบ (The Silent Method)
ข้อเสีย การสอนนามธรรมอาจเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก
ผู้เรียนรู้สึกอึดอัด เพราะไม่ทราบว่าอะไรถูกอะไรผิด
ไม่เหมาะกับผู้เรียนกลุ่มใหญ่
ผู้สอนต้องช านาญการสอนอย่างมีประสิทธิภาพมาก
6.วิธีสอนแบบการตอบสนองด้วยท่าทาง (The Total Physical Response Method)
วัตถุประสงค ์
เพ่ือให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ที่สนุกสนานในการเรียนเพ่ือการสื่อสารเป็นภาษาต่างประเทศ
6.วิธีสอนแบบการตอบสนองด้วยท่าทาง (The Total Physical Response Method)
แนวคิดพ้ืนฐาน
การสื่อความหมายของภาษาต่างประเทศอาจท าได้โดยการปฏิบัติหรือใช้กิริยาอาการประกอบ ผู้เรียนจะจ าได้ดีถ้าได้ปฏิบัติหรือแสดงการโต้ตอบด้วย
6.วิธีสอนแบบการตอบสนองด้วยท่าทาง (The Total Physical Response Method)
ลักษณะส าคัญ ผู้เรียนไม่ต้องพูด แต่เป็นผู้ฟังและท าตามผู้สอน
ผู้สอนก ากับพฤติกรรมของผู้เรียนทั้งหมด
ผู้เรียนเลียนแบบการกระท าตามค าสั่งของผู้สอน
เมื่อผู้เรียนพร้อมท่ีจะพูดก็จะเป็นผู้ออกค าสั่งเอง
6.วิธีสอนแบบการตอบสนองด้วยท่าทาง (The Total Physical Response Method)
ขั้นตอนการสอน ผู้สอนพูดค าสั่งเป็นภาษาต่างประเทศ แล้วปฏิบัติตามค าสั่งนั้นให้ดู
เป็นตัวอย่าง
เมื่อพร้อม ผู้สอนจะเริ่มค าสั่งใหม่ให้ผู้แทนผู้เรียนปฏิบัติตามพร้อมกันและฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง
ออกค าสั่งให้ผู้แทนผู้เรียนปฏิบัติตามค าสั่งโดยผู้สอนไม่ท าให้ดูเป็นตัวอย่าง
เขียนค าสั่งต่าง ๆ บนกระดานด า ผู้สอนปฏิบัติตามค าสั่งนั้นด้วย
6.วิธีสอนแบบการตอบสนองด้วยท่าทาง (The Total Physical Response Method)
กลวิธีการสอน 1. การใช้ค าสั่งเพ่ือก ากับพฤติกรรม
2. การสลับบทบาทของผู้สอนและผู้เรียน
3. การปฏิบัติตามค าสั่งที่ต่อเนื่องกันเป็นล าดับ
6.วิธีสอนแบบการตอบสนองด้วยท่าทาง (The Total Physical Response Method)
ข้อดี ได้ประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติจริง
ไม่เครียด ไม่มีการบังคับให้ผู้เรียนพูดเมื่อยังไม่พร้อม
ได้เรียนรู้ภาษาท่ีใช้ในชีวิตประจ าวัน ใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสารได้
เหมาะสมส าหรับผู้เรียนในชั้นเริ่มเรียน
6.วิธีสอนแบบการตอบสนองด้วยท่าทาง (The Total Physical Response Method)
ข้อเสีย ไม่สามารถสอนสิ่งที่เป็นนามธรรมได้
สอนโครงสร้างซับซ้อนไม่ได้ผลดีเท่าไร
7.วิธีสอนแบบชักชวน (Suggestopedia)
วัตถุประสงค ์
เพ่ือให้ผู้เรียนเรียนภาษาท่ีใช้สื่อสารในชีวิตประจ าวัน
7.วิธีสอนแบบชักชวน (Suggestopedia)
แนวคิดพ้ืนฐาน
สมองของมนุษย์เปี่ยมด้วยพลัง แต่ถูกน ามาใช้เพียงเล็กน้อย ผู้สอนจึงควรโน้มน้าวให้ผู้เรียนได้ใช้พลังสมองของตนอย่างเต็มที่ โดยขจัดความกลัวและข้อห้ามต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคในการเรียนภาษา
7.วิธีสอนแบบชักชวน (Suggestopedia)
ลักษณะส าคัญ ผู้สอนเป็นเจ้าหน้าที่ในห้องเรียน
การเรียนการสอนต้องไม่ท าให้ผู้เรียนวิตกกังวล
ห้องเรียนต้องมีความสะดวกสบาย บรรยากาศผ่อนคลาย แฝงการเรียนรู้ไวยากรณ์รอบห้องเรียน ให้ผู้เรียนเรียนโดยไม่ตั้งใจ
แนะน าผู้เรียนทั้งหมดให้รู้จักกัน ใช้บทสนทนาเป็นสื่อการเรียน
7.วิธีสอนแบบชักชวน (Suggestopedia)
ขั้นตอนการสอน น าเข้าสู่บทเรียนโดยการทักทายและชักชวนให้ผู้เรียนเลือกชื่อใหม่
เป็นภาษาต่างประเทศ แล้วทักทายกันตามบทสนทนาสั้น ๆ
อ่านบทสนทนาที่ต้องการให้ผู้เรียนฟัง และอธิบายสิ่งที่ผู้เรียนไม่เข้าใจ
อ่านบทสนทนาให้ผู้เรียนฟังอีกครั้ง ผู้สอนอ่านน า ผู้เรียนอ่านตาม
7.วิธีสอนแบบชักชวน (Suggestopedia)
ขั้นตอนการสอน (ต่อ) อ่านบทสนทนาให้ผู้เรียนฟังอีกครั้งหนึ่ง โดยเปิดเพลงประกอบด้วย
จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนฝึกเสริมเนื้อหาจากบทสนทนาโดยการร้องเพลง เล่นเกม แสดงบทบาทสมมติ
7.วิธีสอนแบบชักชวน (Suggestopedia)
กลวิธีการสอน 1. การจัดห้องเรียน
2. การเรียนจากสภาพแวดล้อม
3. การชักชวนให้อยากเรียน
4. การสร้างมโนภาพ
5. การเลือกลักษณะประจ าตัวใหม่
6. การแสดงบทบาทสมมติ
7. การใช้เพลงประกอบ
8. การใช้กิจกรรมต่าง ๆ
7.วิธีสอนแบบชักชวน (Suggestopedia)
ข้อดี เกิดความรู้สึกผ่อนคลายทั้งร่างกายและอารมณ์ สภาพแวดล้อมที่น่า
เรียน
ไม่กลัวหรือกังวลว่าจะท าอะไรผิด
ได้เรียนภาษาที่ใช้จริงและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาด้วย
7.วิธีสอนแบบชักชวน (Suggestopedia)
ข้อเสีย เหมาะสมกับผู้เรียนกลุ่มเล็กมากกว่า
ผู้สอนต้องมีความอดทน เชื่อในวิธีการสอนแบบชักชวน
ผู้เรียนอาจมีความรู้ไวยากรณ์ไม่ดีพอได้
8.วิธีสอนแบบกลุ่มสัมพันธ ์(Community Language Learning)
วัตถุประสงค ์ เพ่ือให้ผู้เรียนใช้ภาษาที่เรียนติดต่อสื่อสารได้และเรียนรู้เกี่ยวกับการ
เรียนรู้ของตนเอง
8.วิธีสอนแบบกลุ่มสัมพันธ ์(Community Language Learning)
แนวคิดพ้ืนฐาน
ยึดผู้เรียนเป็นหลัก เน้นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนและระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน ท าให้ผู้เรียนรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
8.วิธีสอนแบบกลุ่มสัมพันธ ์(Community Language Learning)
ลักษณะส าคัญ
ผู้สอนเป็นผู้ให้ค าปรึกษา เข้าใจความรู้สึกของผู้เรียน และสนับสนุนให้ผู้เรียนเอาชนะภาษาใหม่ท่ีเรียนให้ได้
ผู้เรียนเป็นอิสระ และจะรู้สึกอิสระเพ่ิมข้ึนเรื่อย ๆ
8.วิธีสอนแบบกลุ่มสัมพันธ ์(Community Language Learning)
ขั้นตอนการสอน ให้ผู้เรียนนั่งเป็นวงกลม โดยมีไมโครโฟนและเครื่องบันทึกเสียงอยู่
ตรงกลาง ผู้เรียนแนะน าตัวแล้วเริ่มสนทนากัน
ผู้เรียนฟังเทปท่ีบันทึกไว้ และศึกษาบทสนทนาทีละประโยค
แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยช่วยกันสร้างประโยคใหม่จากค าศัพท์ในบทสนทนาตอนต้น
ให้ผู้เรียนพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้รับ
8.วิธีสอนแบบกลุ่มสัมพันธ ์(Community Language Learning)
กลวิธีการสอน 1. การอัดเทปการสนทนาของผู้เรียน
2. การถอดบทสนทนาเป็นภาษาเขียน
3. การไตร่ตรองถึงประสบการณ์
4. การไตร่ตรองด้วยการฟัง
5. คอมพิวเตอร์มนุษย์
6. งานกลุ่มเล็ก
8.วิธีสอนแบบกลุ่มสัมพันธ ์(Community Language Learning)
ข้อดี มีแรงจูงใจในการเรียน เพราะริเริ่มการเรียนด้วยตนเอง
ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตนอย่างเต็มที่
มีปฏิสัมพันธ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
8.วิธีสอนแบบกลุ่มสัมพันธ ์(Community Language Learning)
ข้อเสีย ไม่ได้ผลกับผู้เรียนกลุ่มใหญ่
ผู้เรียนต้องมีความสามารถระดับเดียวกัน
9.วิธีสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (The Communicative Approach)
วัตถุประสงค ์
เพ่ือให้ผู้เรียนใช้ภาษาเพ่ือสื่อความหมายได้เหมาะสมกับสภาพสังคม การจัดการเรียนการสอน
9.วิธีสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (The Communicative Approach)
แนวคิดพ้ืนฐาน ภาษาคือ เครื่องมือในการสื่อสาร และเป้าหมายของการสอนภาษา
คือ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถในการสื่อสาร
9.วิธีสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (The Communicative Approach)
ลักษณะส าคัญ ต้องให้ผู้เรียนรู้ว่าก าลังท าอะไร เพ่ืออะไร
ต้องสอนในลักษณะบูรณาการ ไม่แยกส่วน
ได้ท ากิจกรรมการใช้ภาษาเหมือนในชีวิตประจ าวัน
ฝึกใช้ภาษามาก ๆ โดยผ่านกิจกรรมรูปแบบต่าง ๆ เท่าท่ีเป็นไปได้
ให้ความส าคัญกับการใช้ภาษามากกว่าวิธีการใช้ภาษา
9.วิธีสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (The Communicative Approach)
ขั้นตอนการสอน 1. ให้ข้อมูลทางภาษาแก่ผู้เรียน
2. ฝึกใช้ภาษาท่ีเพ่ิงเรียนรู้ โดยมีผู้สอนเป็นผู้น าการฝึก
3. ใช้ภาษาในสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยผู้สอนเป็นผู้แนะแนว
9.วิธีสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (The Communicative Approach)
กลวิธีการสอน (และสือ่) การใช้สื่อของจริง
การเรียงประโยคที่จัดวางอย่างสับสน
เกมทางภาษา
ภาพชุดเรื่องราว
บทบาทสมมต ิ
9.วิธีสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (The Communicative Approach)
ข้อดี สอดคล้องกับเป้าหมายของการเรียนภาษา
เน้นกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ฝึกการใช้ภาษาในสถานการณ์ต่าง ๆ
เรียนรู้การท างานร่วมกับผู้อื่นเป็นคู่
9.วิธีสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (The Communicative Approach)
ข้อเสีย ผู้สอนต้องมีความพร้อมในด้านต่าง ๆ สูง เช่น ความรู้ การจัด
กิจกรรม การสร้างสถานการณ์
เน้นทักษะการฟัง-พูด มากกว่าการอ่านและการเขียน
กิจกรรมท้ายบทเรียน แบ่งออกเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละเท่า ๆ กัน
เลือกวิธีสอน (ไม่ซ้ า) กลุ่มละ 1 วิธี
เลือกเนื้อหาภาษาไทย (ไม่ซ้ า) 1 เรื่องท่ีสอดคล้องกับวิธีสอนที่เลือก
ระดมสมองกันในกลุ่มว่าจะสอนเนื้อหาที่เลือกตามวิธีสอนข้างต้นอย่างไร
อธิบายรายละเอียดทีละขั้นตอนให้เข้าใจ
ส่งรายชื่อสมาชิกในกลุ่ม วิธีสอน และเนื้อหาก่อนการน าเสนอ