เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมิเดีย...Synthesize...

11
19 บทที4 เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมิเดีย 4.1 ความรู้เบื้องต้นของการบันทึกเสียงและตัดต่อเสียง เสียง (Sound ) เสียง เป็นอีกองค์ประกอบของมัลติมีเดีย อันจะช่วยให้เกิดบรรยากาศที่น่าสนใจในการรับรู้ทางหูโดย อาศัยจะนําเสนอในรูปของ เสียงประกอบ เพลงบรรเลง เสียงพูด เสียงบรรยาย หรือเสียงพากษ์ เป็นต้น ลักษณะของเสียง ประกอบด้วย 1. คลื่นเสียงแบบออดิโอ ( Audio) ซึ่งมีฟอร์แมตเป็น . wav, .au การบันทึกจะบันทึกตามลูกคลื่น เสียง โดยมีการแปลงสัญญาณให้เป็นดิจิทัล และใช้เทคโนโลยีการบีบอัดเสียงให้เล็กลง (ซึ่งคุณภาพก็ต่ําลงด้วย) 2. เสียง CD เป็นรูปแบบการบันทึก ที่มีคุณภาพสูง ได้แก่ เสียงที่บันทึกลงในแผ่น CD เพลงต่าง ๆ 3. MIDI (Musical Instrument Digital Interface) เป็นรูปแบบของเสียงที่แทนเครื่อง ดนตรีชนิด ต่างๆ สามารถเก็บข้อมูล และให้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ สร้างเสียงตามตัวโน้ต เสมือนการเล่นของเครื่องเล่นดนตรี นั้นๆ เทคโนโลยีเกี่ยวกับเสียง ประกอบด้วย การบันทึกข้อมูลเสียง เสียงที่ทํางานผ่านคอมพิวเตอร์ เป็นสัญญาณดิจิตอล ซึ่งมี 2 รูปแบบคือ 1. Synthesize Sound เป็นเสียงที่เกิดจากตัววิเคราะห์เสียง ที่เรียกว่า MIDI โดยเมื่อตัวโน้ตทํางาน คําสั่ง MIDI จะถูกส่งไปยัง Synthesize Chip เพื่อทําการแยกสียงว่าเป็นเสียงดนตรีชนิดใด ขนาดไฟล์ MIDI จะมีขนาดเล็ก เนื่องจากเก็บคําสั่งในรูปแบบง่ายๆ 2. Sound Data เป็นเสียงจากที่มีการแปลงจากสัญญาณ analog เป็นสัญญาณ digital โดยจะมีการ บันทึกตัวอย่างคลื่น ( Sample) ให้อยู่ที่ใดที่หนึ่งในช่วงของเสียงนั้นๆ และการบันทึกตัวอย่างคลื่นเรียงกันเป็น จํานวนมาก เพื่อให้มีคุณภาพที่ดี ก็จะทําให้ขนาดของไฟล์โตตามไปด้วย Sample Rate จะแทนด้วย kHz ใช้อธิบายคุณภาพของเสียง อัตรามาตรฐานของ sample rate เท่ากับ 11kHz, 22kHz, 44kHz Sample Size แทนค่าด้วย bits คือ 8 และ 16 บิท ใช้อธิบายจํานวนของข้อมูลที่ใช้จัดเก็บ ในคอมพิวเตอร์ คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด ได้แกAuido-CD ที่เท่ากับ 44kHz ระบบ 16 บิท เป็นต้น

Transcript of เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมิเดีย...Synthesize...

Page 1: เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมิเดีย...Synthesize Sound . เป็นเสียงที่เกิดจากตัววิเคราะห์เสียง

19

บทที่ 4 เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมเิดีย

4.1 ความรู้เบื้องต้นของการบันทึกเสียงและตัดต่อเสียง เสียง (Sound ) เสียง เป็นอีกองค์ประกอบของมัลติมีเดีย อันจะช่วยให้เกิดบรรยากาศที่น่าสนใจในการรับรู้ทางหูโดยอาศัยจะนําเสนอในรูปของ เสียงประกอบ เพลงบรรเลง เสียงพูด เสียงบรรยาย หรือเสียงพากษ์ เป็นต้น

ลักษณะของเสียง ประกอบด้วย 1. คลื่นเสียงแบบออดิโอ (Audio) ซึ่งมีฟอร์แมตเป็น .wav, .au การบันทึกจะบันทึกตามลูกคลื่น

เสียง โดยมีการแปลงสัญญาณให้เป็นดิจิทัล และใช้เทคโนโลยีการบีบอัดเสียงให้เล็กลง (ซึ่งคุณภาพก็ต่ําลงด้วย) 2. เสียง CD เป็นรูปแบบการบันทึก ที่มีคุณภาพสูง ได้แก่ เสียงที่บันทึกลงในแผ่น CD เพลงต่าง ๆ3. MIDI (Musical Instrument Digital Interface) เป็นรูปแบบของเสียงที่แทนเครื่อง ดนตรีชนิด

ต่างๆ สามารถเก็บข้อมูล และให้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ สร้างเสียงตามตัวโน้ต เสมือนการเล่นของเครื่องเล่นดนตรีนั้นๆ

เทคโนโลยีเกี่ยวกับเสียง ประกอบด้วย การบันทึกขอ้มูลเสียง เสียงที่ทํางานผ่านคอมพิวเตอร์ เป็นสัญญาณดิจิตอล ซึ่งมี 2 รูปแบบคือ 1. Synthesize Sound เป็นเสียงที่เกิดจากตัววิเคราะห์เสียง ที่เรียกว่า MIDI โดยเมื่อตัวโน้ตทํางาน

คําสั่ง MIDI จะถูกส่งไปยัง Synthesize Chip เพ่ือทําการแยกสียงว่าเป็นเสียงดนตรีชนิดใด ขนาดไฟล์ MIDI จะมีขนาดเล็ก เนื่องจากเก็บคําสั่งในรูปแบบง่ายๆ

2. Sound Data เป็นเสียงจากที่มีการแปลงจากสัญญาณ analog เป็นสัญญาณ digital โดยจะมีการบันทึกตัวอย่างคลื่น (Sample) ให้อยู่ที่ใดที่หนึ่งในช่วงของเสียงนั้นๆ และการบันทึกตัวอย่างคลื่นเรียงกันเป็นจํานวนมาก เพื่อให้มีคุณภาพท่ีดี ก็จะทําให้ขนาดของไฟล์โตตามไปด้วย

• Sample Rate จะแทนด้วย kHz ใช้อธิบายคุณภาพของเสียง อัตรามาตรฐานของ samplerate เท่ากับ 11kHz, 22kHz, 44kHz

• Sample Size แทนค่าด้วย bits คือ 8 และ 16 บิท ใช้อธิบายจํานวนของข้อมูลที่ใช้จัดเก็บในคอมพิวเตอร์ คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด ได้แก่ Auido-CD ที่เท่ากับ 44kHz ระบบ 16 บิท เป็นต้น

Page 2: เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมิเดีย...Synthesize Sound . เป็นเสียงที่เกิดจากตัววิเคราะห์เสียง

20

ฟอร์แมตในการจัดเก็บ (File Format) มีหลากหลายรูปแบบ โดยมีส่วนขยาย ( นามสกุล ) ที่เป็นมาตรฐานในการระบุ เช่น

ส่วนขยาย ชนิดของไฟล์ การใช้งาน

.mp3 audio Audio Player

.wav sound Sound Player

.mid music Midi Player

มาตรฐานการบีบอัดข้อมูลเสียง เสียงที่มีคุณภาพดี มักจะมีขนาดโต จึงต้องมีการบีบอัดข้อมูลให้มีขนาดเล็กลง มาตรฐานการบีบอัด

ข้อมูล ได้แก่ ADPCM - Adaptive Differential Pulse Code Modulation โดยจะทําการบีบอัดข้อมูลที่มีการบันทึกแบบ 8 หรือ 16 บิท โดยมีอัตราการบีบอัดประมาณ 4:1 หรือ 2:1

U-law, A-law เป็นมาตรฐานที่กําหนดโดย CCITT สามารถบีบอัดเสียง 16 บิท ได้ในอัตรา 2:1 MACE มีจุดเด่นคือ บีบอัดและขยายข้อมูลให้มีขนาดเท่าเดิมได้ จึงใช้ได้เฉพาะข้อมูลเสียง 8 บิต อัตราการบีบอัดคือ 3:1 และ 6:1 อย่างไรก็ตามคุณภาพเสียงไม่ดีเท่าที่ควร และทํางานได้เฉพาะกับ Mac เท่านั้น MPEG เป็นมาตรฐานการบีบอัดข้อมูลที่นิยมมากในปัจจุบัน โดยชื่อนี้ เป็นชื่อย่อของทีมงานพัฒนา Moving Picture Export Group โดยปัจจุบันมีฟอร์แมตที่นิยมคือ MP3 (MPEG 1 Audio Layer 3) ซึ่งก็คือเทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูลเสียงของมาตรฐาน MPEG 1 นั่นเอง เป็นไฟล์ที่นิยมใช้กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วย

การบันทึกเสียงลงคอมพิวเตอร์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันการบันทึกเสียงมีความง่ายมากขึ้น โดยการใช้ SoftWare จากบริษัทผู้ผลิตต่าง ๆซึ่งมีการแข่งขันในธุรกิจ Soft Ware อย่างกว้างขวางจึงเป็นผลดีต่อผู้ใช้คอมพิมเตอร์ในการบันทึก (Record) ตัดต่อ (Editing) ผสมเสียง (Mixdown) โดยสามรถจําแนกลักษณะของโปรแกรมได้เป็น 2ลักษณะคือ

1. Single Track เป็น โปรแกรมบันทึกเสียงที่สามารถบันทึกเสียงได้เพียง Track เดียวในการบันทึกแต่ละครั้ง และตัดต่อ เพ่ิมเติม ใส่ลักษณะพิเศษของเสียง ( Effect ) ได้ใน Track ของตัวมันเองเท่านั้นซึ่งเมื่อจะมีการบันทึกเสียงใหม่จะต้องทําการ Save ไฟล์เดิมเสียก่อน โปรแกรมที่ทํางานลักษณะนี้ยกตัวอย่าง เช่น Sonic Foudry Sound Forge , Nero Wave Editor , Cool Edit 2000 ฯลฯ

Page 3: เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมิเดีย...Synthesize Sound . เป็นเสียงที่เกิดจากตัววิเคราะห์เสียง

21

2. Multi-Track เป็นโปรแกรมที่สามารถบันทึกเสียงได้หลาย ๆ Track และนํามาผสมเสียงตัดต่อตัดทอน ใส่ลักษณะพิเศษของเสียง ( Effect) ได้ใน Track ต่างๆ ที่มีอยู่ในโปรแกรม เช่นCool Edit Pro, Adobe Audition ฯลฯ

โปรแกรมที่ใช้ในการบันทึกและตัดต่อเสียง ในปัจจุบันโปรแกรมที่ใช้ในการบันทึกเสียงและตัดต่อเสียงมีอยู่ด้วยกันหลายหลายโปรแกรม โดย

โปรแกรมที่ใช้มีทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์มาใช้และโปรแกรมที่มีให้ใช้ฟรี ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มีข้อจํากัดและวิธีใช้แตกต่างกันไป แต่ที่เหมือนกันก็คือสามารถที่จะใช้ในการบันทึกและตัดต่อเสียงได้เป็นพ้ืนฐานของทุกโปรแกรม โดยจะยกตัวอย่างโปรแกรมท่ีนิยมใช้ในการบันทึกและตัดต่อเสียงดังนี้

1. โปรแกรม WaveShop

(www.Thaiwara.com)

โปรแกรม WaveShop เป็น โปรแกรมตัดต่อเสียง โอเพ่นซอร์ส (Open-Source) แจกฟรี 100% ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ไม่มีโฆษณาแฝง ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง ให้คุณได้ ดาวน์โหลด ไปตัดต่อเสียง กันได้อย่างจุใจ

โปรแกรมตัดต่อเสียง นี้เหมาะสําหรับ ผู้ที่ต้องการตัดต่อเสียง ตัดเพลง เล็กๆ น้อยๆ ทําริงโทน (Ringtone) อัดเสียงช่วงสําคัญๆ โดยสามารถแก้ไข ตัดต่อเสียงแค่บางส่วนของไฟล์เสียง โดยไม่กระทบกับไฟล์เสียงอ่ืนๆ

Page 4: เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมิเดีย...Synthesize Sound . เป็นเสียงที่เกิดจากตัววิเคราะห์เสียง

22

ทั้งหมด โปรแกรมตัดต่อเสียง WaveShop นี้สนับสนุนไฟล์เสียง ไฟล์เพลง ชั้นนํา ของโลกอย่าง .WAV .MP3 .OGG .VOC ฯลฯ อีกมากมาย

ภายใน WaveShop โปรแกรมตัดต่อเสียง นอกจากจะสามารถตัดต่อเสียงที่มีความสามารถในการ Copy (คัดลอกเสียง) Cut (ตัดเสียง) Paste (วางเสียงที่ตัดมาแปะ) Insert (ใส่เสียง) Delete (ลบเสียง) ได้แล้ว ยังประกอบไปด้วยความสามารถของการวิเคราะห์ Peak และ RMS Analysis หรือการวิเคราะห์ความดังสูงสุดของเสียง รวมไปถึงการ ปรับเสียง (Normalizing) ให้อยู่ในระดับความดังที่เท่ากัน การเฟด (Fading) เสียง และ ความสามารถในการ ตัดต่อเสียง อื่นๆ อีกมากมาย มีการแสดงกราฟเสียงออกมาให้ดูชั้นเจด (ดูรูปประกอบ โปรแกรมตัดต่อเสียง) ลองดาวน์โหลดโปรแกรมตัดต่อเสียง ไปใช้ดู รับรองมีประโยชน์แน่นอน ...

หมายเหตุ : โปรแกรมตัดต่อเสียง WaveShop นี้สนับสนุนระบบปฏิบัติการทั้งแบบ 32 Bits (x86) และ 64 Bits (x64) และมีให้เลือก ดาวน์โหลดทั้งแบบต้องทําการติดตั้งก่อนใช้งาน (Installer Version) หรือแบบ ไม่ต้องทําการติดตั้งก่อนใช้งาน (แบบพกพา) (Portable Version) เช่นกัน

2. โปรแกรม Cool edit Pro

(www.Thaiwara.com)

Page 5: เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมิเดีย...Synthesize Sound . เป็นเสียงที่เกิดจากตัววิเคราะห์เสียง

23

โปรแกรม Cool edit Pro เป็นโปรแกรมท่ีใช้สําหรับการบันทึกเสียง การแก้ไข ตัด-ต่อเสียง ในระดับมืออาชีพ สามารถทําการปรับแต่งเสียง ใส่เอฟเฟคต่างๆ เช่น การทําเสียงก้อง (Reberb) การทําเสียงสะท้อน (Echo) ซึ่งมีเครื่องมือต่างๆ ให้เลือกใช้งานมากมาย สามารถบันทึกเป็นไฟล์ได้หลายรูปแบบ เช่น WAV , WMA , MP3 , RM , AVI , OGG และอ่ืนๆ ในปัจจุบันโปรแกรม Cool edit Pro เป็นโปรแกรมท่ีมืออาชีพนิยมใช้กันมาก

3. โปรแกรม Sound Forge PRO 10.0

(www.Thaiwara.com)

โปรแกรม Sound Forge Pro10.0 คือ โปรแกรมที่ถกออกแบบมาเพ่ือรองรับการบันทกเสียงและการ ตัดต่อเสียงระดับต้น-ระดับกลาง ผู้ใช้สามารถศึกษาและเรียนรู้การใช้งานของโปรแกรมได้ด้วยตนเอง การทํางานของโปรแกรมออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างคล่องตัว จดเดนคงเป็นเรื่องของ Effect ต่างๆที่บรรจุอยู่ในตัวโปรแกรมซึ่งเป็นพื้นฐาน ในการปรับแต่งเสียงในลักษณะต่างๆ ซึ่งแตกต่างกันไปตามการใช้ลักษณะของการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน

Page 6: เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมิเดีย...Synthesize Sound . เป็นเสียงที่เกิดจากตัววิเคราะห์เสียง

24

4. โปรแกรม Adobe Audition

(www.Thaiwara.com)

โปรแกรม Adobe Audition เป็นโปรแกรมท่ีใช้ตัดต่อเสียงซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกับโปรแกรมยอดนิยม เช่น Photoshop , Illustrator , Pagmaker , Premiere ฯลฯ ซึ่งโปรแกรมแต่ละตัวก็มีความสามารถในการทํางานที่แตกต่างกัน Audition เป็นโปรแกรมตัดต่อเสียงชนิด Multi-track ที่มีความสามารถในการตัดต่อเสียงได้หลาย Track นอกจากนั้นแล้วยังสามารถ Import ไฟล์ชนิด CDA (Compact-Dics Audio) ให้เป็นไฟล์เสียงหลายรูปแบบอีกด้วย นอกเหนือจากความสามารถใส่ลักษณะพิเศษให้กับเสียงแบบต่าง ๆ แล้วนั้น Audiotion นําไฟล์ภาพ Video เข้ามาเพ่ือ Mix เสียงให้เข้ากับภาพได้ด้วย

Page 7: เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมิเดีย...Synthesize Sound . เป็นเสียงที่เกิดจากตัววิเคราะห์เสียง

25

4.2 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโปรแกรมมัลติมิเดีย

เนื่องด้วยมีคนให้ความหมายของคําว่า มัลติมีเดีย ไว้ค่อนข้างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็น

มัลติมีเดีย คือ ระบบสื่อสารข้อมูลข่าวสารที่มีความหลายหลาย โดยผ่านสื่อทางคอมพิวเตอร์ซึ่งจะประกอบด้วย ข้อความ ข้อมูล กราฟิก ภาพ เสียง และรวมถึงวีดิทัศน์หรือวีดีโอต่างๆ

มัลติมีเดีย คือ โปรแกรมซอฟต์แวร์ที่อาศัยคอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการนําเสนอโปรแกรมประยุกต์ ซึ่งรวมถึงการนําเสนอข้อความสีสัน ภาพ กราฟฟิก (Graphic images)ภาพเคลื่อนไหว (Animation) เสียง (Sound) และภาพยนตร์วีดิทัศน์ (Full motionVideo) ส่วนมัลติมีเดียปฏิสัมพันธ์ (Interactive Multimedia) จะเป็นโปรแกรมประยุกต์ที่รับการตอบสนองจากผู้ใช้โดยใช้คีย์บอร์ด (Keyboard) เมาส์ (Mouse) หรือตัวชี้ (Pointer)เป็นต้น

จากความหมายข้างต้นที่ได้ยกตัวอย่างมา เราสามารถสรุปความหมายของคําว่า มัลติมีเดีย คือ การใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับโปรแกรมซอฟต์แวร์ในการสื่อความหมายโดยการผสมผสานสื่อหลายชนิด เช่น ข้อความ กราฟิก (Graphic) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) เสียง (Sound) และวีดิทัศน์ (Video) เป็นต้น และถ้าผู้ใช้สามารถที่จะควบคุมสื่อให้นําเสนอออกมาตามต้องการได้จะเรียกว่า มัลติมีเดียปฏิสัมพันธ์ ( Interactive Multimedia) การปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้สามารถจะกระทําได้โดยผ่านทางคีย์บอร์ด (Keyboard) เมาส์ (Mouse) หรือตัวชี้ (Pointer) การใช้มัลติมีเดียในลักษณะปฏิสัมพันธ์ก็เพ่ือช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้หรือทํากิจกรรม รวมถึงดูสื่อต่าง ๆ ด้วยตนเอง สื่อต่าง ๆ ที่นํามารวมไว้ในมัลติมีเดีย เช่น ภาพ เสียง วีดิทัศน์ จะช่วยให้เกิดความหลากหลาย ชาน่าสนใจ และเร้าความสนใจ เพ่ิมความสนุกสนานในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น

โปรแกรมที่ใช้ในการสร้างผลงานมัลติมดิีย ในปัจจุบันเทคโนโลยีในการสร้างโปรแกรมซอฟต์แวร์ค่อนข้างเติบโตและมีการแข่งขันด้านการผลิต

โปรแกรมซอฟต์แวร์มากขึ้น โดยโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบันมีค่อนข้างมาก ขอยกตัวอย่างโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ทํางานทางด้านมัลติมิเดียที่ได้รับความนิยม และมีการใช้งานที่ครอบคลุม ซึ่งสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้โดยไม่จํากัด เช่น

Page 8: เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมิเดีย...Synthesize Sound . เป็นเสียงที่เกิดจากตัววิเคราะห์เสียง

26

1. Blender

(www.Thaiwara.com)

Blender (โปรแกรมออกแบบ 3 มิติ โปรแกรม Animation 3 มิติ) คือ โปรแกรมออกแบบ 3 มิติ (3D) โปรแกรม เป็นโปรแกรมออกแบบ ที่ใช้ได้กับทุกระบบปฏิบัติการ ไม่ว่าจะเป็นทั้ง Windows / Mac OS หรือ Linux เหมาะสําหรับคนชอบและรักการออกแบบ ถามว่าออกแบบอะไร ออกแบบรถ ออกแบบตัวละคร ในฝัน ออกแบบตัวละครการ์ตูน หรือในจินตนาการ จริงๆ แล้วก็สามารถ เป็น โปรแกรม Animation เพ่ือใช้ทําภาพเคลื่อนไหว 3 มิติ ได้อีกด้วย

Page 9: เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมิเดีย...Synthesize Sound . เป็นเสียงที่เกิดจากตัววิเคราะห์เสียง

27

(http://www.blender.org/)

โดยโปรแกรมออกแบบ 3 มิติ หรือ โปรแกรม Blender เหมาะสําหรับในการฝึกทําภาพ ออกแบบภาพ 3 มิติ โปรแกรม Blender ช่วยในการออกแบบวัสดุ คนในรูปแบบ 3 มิติ แถมมีฟังก์ชั่นให้งานที่คิดว่ายากๆ ให้ง่ายขึ้น คุณสมบัติก็เทียบเคียงกับ โปรแกรมออกแบบ 3 มิติ (โปรแกรม Animation) หรือ โปรแกรมออกแบบ ฟอร์มยักษ์อ่ืนๆ ที่มีราคาเฉียดล้าน ได้อย่างไม่อายเลยทีเดียวละครับ มีให้เลือกดาวน์โหลด ทั้งแบบ ระบบปฏิบัติการ 32 Bits (x86) และ 64 Bits (x64) ใครใช้แบบไหน ก็เลือก ดาวน์โหลด โปรแกรมออกแบบ 3 มิติ ได้ตามใจชอบ เพ่ือจะได้รีดประสิทธิภาพ

2. Adobe Captivate

โปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมที่ช่วยสร้างสื่อมัลติมีเดียต่างๆ สามารถผสมผสานจัดการในระบบ E-learning โดยรูปแบบการทํางานที่ใช้งานง่ายคล้ายกับ Power Point ให้คุณสร้างสื่อมัลติมีเดียที่ประกอบด้วย วิดีโอ, เสียง, กราฟิกและภาพเคลื่อนไหว พร้อม interaction โต้ตอบด้วยแบบทดสอบที่หลากหลายรูปแบบ สําหรับครู อาจารย์ นักศึกษา หรือผู้ที่ใช้โปรแกรมสําเร็จรูปทั้งหลาย ลองโหลดไปใช้ดูนะครับ น่าสนใจมากๆ

Page 10: เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมิเดีย...Synthesize Sound . เป็นเสียงที่เกิดจากตัววิเคราะห์เสียง

28

(http://www.adobe.com)

3. SWiSHmax

โปรแกรมนีเ้ป็นโปรแกรมที่สามารถสร้างผลงานมัลติมิเดียได้อย่างง่าย เพราะจะมีลูกเล่นหรือ effect ต่างๆให้เราเลือกใช้ได้ ถือเป็นโปรแกรมท่ีง่าย แต่มีข้อจํากัดเรื่องการสร้างสรรค์ผลงาน

Page 11: เรียนรู้โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในงานมัลติมิเดีย...Synthesize Sound . เป็นเสียงที่เกิดจากตัววิเคราะห์เสียง

29

(http://www.thaiware.com)

4. Adobe Flash Professional

โปรแกรม Adobe Flash Professional เป็นโปรแกรมท่ีได้รับความนิยมสูงสุดในการสร้างสรรค์งานประเภทมัลติมิเดีย โดยโปรแกรมค่อนข้างยืดหยุ่นในการใช้งาน ทําให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

(http://www.adobe.com)

บทที่ 5

เรียนรู้การบันทึกเสียงและตดัตอ่เสียง