คำสอนท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม 1

13
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ

Transcript of คำสอนท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม 1

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ

ให้หมัน่เพ่งโทษของตนไวเ้นือ่งๆ และแกไ้ขสิง่ทีช่ัว่ให้

กลับเปน็ด ีพระพุทธเจา้ทรงตรัสขอ้นีว้า่ สตฺถา เทว

มนุสฺสานํ คือทํามนษุยใ์หเ้ปน็เทวดา ทําเทวดาใหเ้ปน็

พรหม ทําพรหมใหเ้ปน็อรยิะ"

ที่ถูกนั้น...ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขา ต้องคิดว่าน่ันเป็นสมบัติของเขา

ไม่ใช่ของเรา ส่วนความดีที่เราท าก็ย่อมอยู่ที่ตัวเรา

ให้คิดเหมือนมะม่วงที่เป็นหนอน คนฉลาดเขาก็เลือกกินแต่ตรงเนื้อที่ดีๆ

ส่วนที่เน่าที่เสียก็ปล่อยให้บุ้งหนอน มันกินของมันไปเพราะเป็นวิสัยของมัน ส่วนเราก็อย่าไปอยู่จ าพวกบุ้งหนอนด้วย

การตายนั้น... นักปราชญบ์ัณฑิตท่านเห็นเหมือนกับว่า

เป็นการแก้ผ้าข้ีริ้วออกโยนทิ้ง ไปจากตัวเท่าน้ัน

จิตก็เหมือนกับตัวคน กายก็เหมือนกับเสื้อผ้า

ไม่เห็นว่าเป็นการสลักส าคัญอะไรเลย

นักปราชญ์บัณฑิตนั้น ท่านเห็นว่าการอยู่การตาย

ไมส่ าคัญเท่ากับการท าประโยชน์ ถ้าการอยู่ของท่านมีประโยชน์

ต่อตนเองและผู้อื่นแล้ว ถึงผ้ามันจะเก่า

เสื้อมันจะขาดจนเป็นผ้าข้ีริ้ว ท่านก็ทนใส่มันได้ แตถ่้าเห็นว่า ไมมี่ประโยชน์อะไรแก่ใครแล้ว

ท่านก็แก้มันโยนทิ้งไปเลย

คนที่มีศีล มีทาน แต่ไม่มี “ภาวนา” (คือ หลักของใจ) ก็เท่ากับถือศาสนาเพียงครึ่งเดียว

เหมือนคนที่อาบน้ าแค่บั้นเอว ไม่ได้รดลงมาแต่ศีรษะ ก็ย่อมจะไม่ได้รับความเย็นทั่วตัวเพราะไม่เย็นถึงจิตถึงใจ

คนที่บวชแล้วไม่เคยออกป่าเลย ก็เท่ากับได้รู้จักแต่รสข้าวสุกอย่าง

เดียว ไม่มีกับ คนที่บวชแล้วเดินธุดงค์แสวงหาท่ี

วิเวก ย่อมได้รับรสของธรรม เปรียบเหมือนบุคคลที่กินข้าวสุกมี

กับ ย่อมได้รับรสต่างกันมาก

คนที่ท า "ทาน" มากก็จะให้ผลให้เขาเป็นคนมีทรัพย์สินอุดมสมบูรณ์

คนมี "ศีล" จะท าให้ได้อัตภาพที่ดี มีรูปร่างผิวพรรณดีงาม

ไม่เป็นใบ้ บอดหนวกหรือ หน้าตาวิปริตน่าชัง ถ้ามี "ภาวนา" ด้วย

ก็จะท าให้ผู้นั้นเป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ไม่เป็นบ้าวิกลจริต

เหตุนั้น, พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราท าทั้งทาน ศีล ภาวนาให้ครบ

บริบูรณ์ทั้ง ๓ ประการ

ผู้ปฏิบัติธรรม จะต้องมีการเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว

บุคคลใดมีธรรมอันพอ จะช่วยให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้

แต่ไม่ช่วย พระพุทธเจ้าย่อมไม่ทรงสรรเสริญบุคคล

ชนิดนั้น และตัวเราเองก็ติเตียน ถ้าหากเราจะท าอย่างนั้นบ้าง

เราก็สบายไปนานแล้ว ไม่ต้องมาล าบากอย่างนี้ ทุกสิ่งที่อย่างที่ท าไปนี่

ก็เพราะเห็นแก่ศาสนาส่วนใหญ ่

เรื่องภายนอกนั้น ถึงเราจะศึกษาให้มีความรู้สักเท่าไรๆ

ก็จะไม่ท าให้เราพ้นจากทุกข์ได้ สู้การเรียนรู้จิตใจของตนอยู่ภายในวงแคบๆน้ีไม่ได้

การด าเนินทางศาสนา เท่ากับเดิน ๒ ขา คือปริยัติ ขาหนึ่ง ปฏิบัติขาหนึ่ง ถ้าเราเดินแต่ขาเดียวก็ต้องล้มแน ่

โลกียทรัพย์ เป็นของที่เราจะน าติดตัวไปโลกหน้าไม่ได้ จึงต้องแปรโลกียทรัพย์ให้เปน็ อริยทรัพย์ เสียก่อน จึง

จะน าติดตัวไปโลกหน้าได้

สมบัติที่เป็นของกาย เรียกว่า โลกียทรัพย์

สมบัติที่เป็นของใจเรียกว่า อริยทรัพย์

สมบัติของกายอาศัยใช้ได้เฉพาะแต่ในโลกนี้ แต่สมบัติของใจใช้ได้ส าหรับโลกหน้า